ตร.ผู้ใหญ่ ‘ขายตำแหน่ง’ ตร.ผู้น้อย ‘ลักปืนหลวงขาย’ ใครชั่วกว่ากัน!

ตร.ผู้ใหญ่ ‘ขายตำแหน่ง’ ตร.ผู้น้อย ‘ลักปืนหลวงขาย’ ใครชั่วกว่ากัน!

ยุติธรรมวิวัฒน์

ตร.ผู้ใหญ่ “ขายตำแหน่ง”ตร.ผู้น้อย “ลักปืนหลวงขาย” ใครชั่วกว่ากัน!

              พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร

ปัญหา ตำรวจไทย ในเวลานี้ มีเกิดขึ้นแทบจะเป็นรายวัน โดยเฉพาะการก่อเหตุ ฆาตกรรมหมู่ สยองขวัญประชาชนและชาวโลกถึง 37 ศพ ที่จังหวัดหนองบัวลำภู!

ตามด้วยผู้บังคับหมู่สถานีตำรวจปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ลักปืนหลวงนานาชนิดที่เก็บไว้ในคลัง ไปจำนำและขายรวมกว่า 150 กระบอก!

ส่วนที่ไม่มีการตรวจสอบอีกหลายหน่วยทั่วประเทศและอีกประมาณ 1,500 สถานี หรือที่ยังไม่ปรากฏข่าวอื้อฉาวไม่รู้เท่าใด?

ปัจจุบัน ปืนราชการ ที่รัฐได้ใช้เงินงบประมาณซื้อมาเพื่อให้ตำรวจประจำสถานี ผู้มีหน้าที่ป้องกันอาชญากรรมได้เบิกใช้ในการป้องกันตัว หลายรุ่นจำนวนมากมาย ได้ กลายเป็นส่วนเกิน กองอยู่ในคลังอาวุธแทบทุกสถานี

เนื่องจากตำรวจไม่นิยมเบิกใช้ แม้กระทั่งปืนรุ่นใหม่ๆ ที่ทันสมัย แต่ไม่มีความปลอดภัยต่อประชาชนเท่าปืนลูกโม่

เพราะเมื่อหกเจ็ดปีที่ผ่านมา ได้มีการทำโครงการจูงใจให้ตำรวจซื้อ ปืนอัตโนมัติรุ่นทันสมัยในราคาถูก กระบอกละไม่ถึง 30,000  บาท ขณะที่ท้องตลาดขายกันแปดเก้าหมื่น

ตำรวจผู้ใหญ่ขายปืนในราคาถูกได้ เพราะนอกจากการสั่งซื้อจำนวนมากแล้ว ยังได้มีการขอให้คณะรัฐมนตรี ยกเว้นภาษีศุลกากรเป็นพิเศษ ซึ่งไม่เคยทำกันมาก่อนอีกด้วย

เนื่องจากเป็นการซื้อทรัพย์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล ไม่ใช่ทรัพย์ของราชการ

ทำให้ตำรวจทุกระดับแห่จองกันแน่นขนัด กว่าแสนสองหมื่นกระบอก ส่วนใหญ่เพื่อ หวังกำไรจากการขายต่อ ทั้งที่บางคนไม่จำเป็นต้องใช้ในการปฏิบัติหน้าที่อะไร หรือ แม้กระทั่งหลายคนมีปืนอยู่แล้วหลายกระบอก! และก่อให้เกิดปัญหา “การพกพาโดยมิชอบ” กันทั้งประเทศ!

แต่ต่อมาได้ถูก กรมการปกครอง ออกหลักเกณฑ์  ห้ามโอนยกเว้นให้ตกเป็นมรดกเท่านั้น

ส่งผลทำให้ตำรวจผู้น้อยที่ซื้อปืนเพื่อหวังกำไรได้รับความเดือดร้อนจากการเป็นหนี้สินมากมายจะนำปืนไปขายต่อก็ไม่ได้

ในเดือน มิถุนายน 2557 ไม่ทราบด้วยเหตุใด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่ง ยกเลิกเงื่อนไข การโอนอาวุธปืนโครงการดังกล่าว เป็น ห้ามโอนภายใน 5 ปีนับแต่วันที่ออกใบอนุญาต แทน ตาม หนังสืออธิบดีกรมการปกครองที่ มท 0307.4/ว 7581 ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2557 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดให้ถือปฏิบัติ

ปัจจุบันนี้จึงไม่มีใครทราบว่า ปืนสวัสดิการตำรวจล็อตใหญ่ที่ทันสมัย ตำรวจผู้ซื้อมือแรกได้ขายให้บุคคลอื่นไปซึ่งไม่ทราบว่ามีอาชีพอะไรบ้าง แล้วรวมจำนวนเท่าใด?

ปัญหาตำรวจไทยนั้น ขอเรียนว่าอยู่ใน อาการหนักขั้นโคม่า ซึ่งไม่สามารถแก้ได้ด้วยการปรับปรุงพัฒนาหรือทำโครงการสารพัด รวมทั้งการ ออกคำสั่งกำชับกวดขันอะไรกันอย่างซ้ำซากมากมายจนแสนรำคาญ!

หรือแม้กระทั่งการประกาศใช้ พ.ร.บ.ตำรวจใหม่ ซึ่ง ไม่ได้เป็นการปฏิรูประบบตำรวจหรือแก้ปัญหาอะไรได้อย่างแท้จริง

สังคมไทยได้เกิดความผิดพลาดขึ้นครั้งใหญ่ ในการที่ปล่อยให้มี ตำรวจผู้ใหญ่ “หลอกล่อ” ขอให้รัฐบาลตราพระราชกฤษฎีกาให้ กรมตำรวจแยกออกจาก “กระทรวงมหาดไทย”

ส่งผลทำให้ ระบบงานรักษาความสงบของชาติ ตาม ป.วิ อาญา ที่ดำเนินไปได้ด้วยดีมีประสิทธิภาพในระดับหนึ่งมาช้านาน

เพราะได้มีการกำหนดให้ ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นหัวหน้าผู้รักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อยรวมทั้งการสอบสวน ในระดับชาติ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดรวมทั้งนายอำเภอ ไปจนกระทั่งกำนันและผู้ใหญ่บ้านเป็นมือไม้ในระดับจังหวัดและอำเภอ

ผู้ว่าฯ และนายอำเภอถูกกำหนดให้ เป็นหัวหน้าผู้บังคับบัญชาข้าราชการทุกหน่วยใน “หน่วยการปกครองของชาติ” คือจังหวัดและอำเภอตามที่ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินบัญญัติเป็นหลักไว้

ทำให้ทุกพื้นที่มี เอกภาพการบังคับบัญชา ผู้ว่าฯ สามารถสั่งทุกหน่วยให้ช่วยกันทำงานรักษากฎหมายทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบได้

แต่การแยกกรมตำรวจออกจากกระทรวงมหาดไทย ทำให้ปลัดกระทรวงและผู้ว่าฯ รวมทั้งนายอำเภอไม่สามารถสั่งราชการอะไรหรือแม้กระทั่งตรวจสอบการทำงานของหัวหน้าตำรวจจังหวัดอำเภอและตำบลได้อีกต่อไป

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายไปเรื่อยๆ เมื่อตำรวจได้เสนอให้รัฐบาลแก้ไขกฎหมายต่างๆ ได้เอง โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบของกระทรวงมหาดไทยเช่นในอดีต

ส่งผลทำให้มีการจัดตั้งกองบัญชาการขึ้น มีหัวหน้ายศพลตำรวจโทแทนกองบังคับการยศพลตำรวจตรี มีตำแหน่งระดับรองฯ มากมาย มีตำรวจชั้นนายพลถึงปัจจุบันรวมกันมากกว่า 500 คน!

หัวหน้าสถานีตำรวจที่เคยเรียกว่า สารวัตรใหญ่ ยศพันตำรวจโท ก็ถูกยกระดับขึ้นเป็น พันตำรวจเอก ทั่วประเทศ

บางสถานีมีตำรวจในบังคับบัญชาไม่ถึงห้าสิบคนด้วยซ้ำ!

ฝ่ายทหารเห็นแล้วรู้สึก ตลกขบขัน ปน สมเพช

เสียงเล่าลือเรื่องการ ขายตำแหน่งระดับต่างๆ เริ่มดังหนาหูมากขึ้นนับแต่นั้นเป็นต้นมา

สาม ห้า เจ็ด คือ สูตร ที่เป็น เคล็ด ความสำเร็จและเจริญก้าวหน้าของตำรวจทุกระดับ

หมายถึง สามแสน ห้าแสน และเจ็ดแสน สำหรับระดับ สารวัตร หัวหน้าสถานี และ หัวหน้าตำรวจจังหวัด และยกระดับมากขึ้นเรื่อยๆ ตามอัตราค่าเงิน รวมทั้งความต้องการและการแข่งขันของตำรวจผู้มีคุณสมบัติที่ถูกแก้ไขโดย ก.ตร. จากที่ให้ พิจารณาตามลำดับอาวุโสอัตราเงินเดือน ระยะเวลาการครองตำแหน่ง ไปจนกระทั่งความรู้ความสามารถ ความประพฤติและความซื่อสัตย์สุจริต 

ให้กลายเป็นพิจารณาตามความรู้ความสามารถเป็นลำดับแรก

สำหรับความอาวุโส ไม่ว่าอัตราเงินเดือน หรือระยะเวลาการครองตำแหน่ง กำหนดไว้ ท้ายสุด

ส่วน ความซื่อสัตย์สุจริต ได้ ถูกตัดออกไป ไม่ปรากฏเป็นคุณสมบัติสำหรับการแต่งตั้งหรือโยกย้ายตำรวจไทยไม่ว่าระดับใดอีกต่อไป

ส่งผลทำให้เกิดปัญหา ตำรวจผู้มีอาวุโสครองตำแหน่งมานานกว่าถูกข้ามหัวกันปีแล้วปีเล่ามากมาย เกิดความระส่ำระสาย ตำรวจไม่ยอมรับอำนาจบังคับบัญชาของผู้มีอาวุโสต่ำกว่าที่ถูกแต่งตั้งมาเป็นนาย

จนต้องมีการแก้ไขเพื่อให้องค์กรดำรงอยู่ได้ โดยเปิดช่องให้แต่งตั้งผู้มีอาวุโสกว่าในกลุ่ม โควตา 33 เปอร์เซ็นต์

ส่วนตำแหน่งที่เหลือ 67 เปอร์เซ็นต์ สำหรับ พวกวิ่งเต้น หรือ ซื้อขาย ซึ่งกระทำกันหลายรูปแบบ และ ราคาแพงขึ้นทุกปี!

เป็นการแต่งตั้งกันภายใต้ หลุมพราง ข้ออ้างว่า เป็นผู้มีความรู้ความสามารถมากกว่าตำรวจคนที่ไม่ได้รับการพิจารณา?

ปัญหา ตำรวจผู้ใหญ่ประเทศไทยขายตำแหน่ง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมานาน ประมาณ 30 ปี และมีราคาแพง รวมทั้งมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลาและความต้องการในการเลื่อนยศและตำแหน่งของตำรวจผู้ใหญ่

นับจากที่ ก.ตร.ได้มีการกำหนดให้ อาวุโส เป็น คุณสมบัติข้อสุดท้าย ในการพิจารณา

ปัจจุบัน กลุ่มตำรวจดี ล้วนต้องก้มหน้าปฏิบัติหน้าที่ไปวันๆ อย่างไม่มีความหวังอะไร เพราะทำงานมานานแค่ไหน  เขาก็บอกว่าไม่ใช่ผู้มีความสามารถ!

ส่วน กลุ่มตำรวจชั่วร้าย จ้องแต่ใช้อำนาจ หาเงินจากผู้กระทำผิดกฎหมาย ไป ส่งส่วย สร้างความพอใจให้เจ้านายหลายระดับ ไม่ว่าจะเป็นกองบังคับการ หรือกองบัญชาการ

รวมไปถึงสะสมเป็นทุนไว้ใช้  ซื้อตำแหน่ง ในแต่ละวาระการแต่งตั้ง

ตำรวจผู้ใหญ่ ขายตำแหน่ง กับตำรวจผู้น้อย ลักปืนหลวงขาย ใคร ชั่ว กว่ากัน?

ที่มา : นสพ.ไทยโพสต์  คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ:  ฉบับวันที่ 24 ต.ค. 2565

ขอบคุณภาพประกอบ : amarintv