ข่มขืนแหม่มอังกฤษที่เกาะเต่ากับปัญหาการสืบสอบแบบไม่รับคำร้องทุกข์?

ข่มขืนแหม่มอังกฤษที่เกาะเต่ากับปัญหาการสืบสอบแบบไม่รับคำร้องทุกข์?

พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร

 

             ระยะนี้มีข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับตำรวจหลายเรื่องจนประชาชนทั้งคนไทยและชาวต่างชาติจดจำกันไม่หวาดไหว!

ปัญหาการตรวจควันดำของตำรวจจังหวัดนครสวรรค์ได้ 83 แต่กรมการขนส่งทางบกใช้เครื่องมือมาตรฐานสากลตรวจพบแค่ 30  ไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ตามเกณฑ์ที่กำหนด   แต่ ลุงอดูลย์ ซึ่งได้จ่ายค่าปรับไปหนึ่งพัน เหลือติดกระเป๋า 500 เติมน้ำมันกลับโคราช มีเพียงเศษเหรียญ 13 บาท

ทำให้ลุงรวมทั้งลูกสะใภ้และหลานต้อง อดน้ำ อดนม ไปตลอดทางสร้างปัญหาคาใจตลอดมา

ลุงและประชาชนผู้รักความยุติธรรมจำนวนหนึ่งจึงได้ไปร้องเรียนกับตำรวจแห่งชาติให้ตรวจสอบมาตรฐานการตรวจวัดตั้งแต่วันที่  26 กันยาที่ผ่านมา

           พ.ต.อ.เวรอำนวยการผู้น่าสงสาร” บอกว่า  น่าจะใช้เวลาไม่เกิน  7 วัน คงทราบผล

แต่จนกระทั่งบัดนี้  ก็ยังไม่มีคำตอบแต่อย่างใด ทั้งตำรวจจังหวัด ตำรวจภาค และตำรวจแห่งชาติ

ครั้งสุดท้าย เมื่อ 17 ต.ค. ได้มีตำรวจคนหนึ่งซึ่งไม่แน่ใจว่ามีหน้าที่รับผิดชอบอะไร ได้บอกกับลุงว่า ขอให้มาอีกครั้งในวันที่  29 ต.ค. 61  ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเป็นผู้มีอำนาจสามารถจัดการอะไรได้แท้จริงหรือไม่?

              ปัญหาลักษณะนี้ในประเทศที่เจริญ เขาล้วนจบได้ด้วยอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดเท่านั้น           ไม่ต้องให้ประชาชนเสียเวลาเดินทางมากรุงเทพหรือแม้กระทั่งทำเนียบรัฐบาลเพื่อร้องเรียนกับนายกรัฐมนตรี  แล้วก็ไม่มีคำตอบอะไรที่ในการแก้ไขความเดือดร้อนของผู้คนจากปัญหาตำรวจแท้จริงแต่อย่างใด

ตามมาด้วย “สำนักข่าวอิสรา” รายงานว่ากฤษฎีกาได้ทำหนังสือแจ้งไปยังตำรวจแห่งชาติกรณีที่มีตำรวจกองการเงินร่วมกันปลอมเอกสารเบิกงบประมาณไป 14 ล้านในปี 2536

เรื่องนี้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบระดับ ตร.ทุกยุคสมัยไม่มีใครอยากพูดถึง?  จึงได้ปล่อยให้เวลาล่วงเลยจนขาดอายุความฟ้องคดีแพ่ง รอง ผบก.ไปจนถึงนายสิบตำรวจให้ร่วมกันชดใช้

เงินหลวงที่ผู้คนหรือแม้กระทั่ง สตง.บอกว่า  “ตกน้ำไม่ไหล  ตกไฟไม่ไหม้”  นั้น 

จึงอาจไม่เป็นความจริงอีกต่อไป! 

เพราะเมื่อคดีขาดอายุความฟ้องให้ผู้รับผิดชอบชดใช้  แล้ว  “รัฐ” จะไปเอาเงิน 14 ล้านบาทจากใคร?

กฤษฎีกาบอกว่า  ถ้า ผบ.ตร.เห็นใครต้องรับผิดชอบทำให้คดีขาดอายุความ  ก็เป็นเรื่องต้องดำเนินการไปตามหน้าที่        ไม่ต้องส่งมาให้ตีความเสียเวลา!

อีกเรื่องก็คือ รองสารวัตรตำรวจในจังหวัดบุรีรัมย์ขับรถชนท้ายรถพยาบาลขณะกำลังเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินจนพยาบาลสาวเสียชีวิต

หลังเกิดเหตุ  ไม่ได้มีการแจ้งข้อหากับตำรวจคนขับรถชนทันที ปล่อยให้นอนอยู่ที่โรงพยาบาลทั้งที่อาการไม่ได้หนักแต่อย่างใด และไม่มีการเป่าทดสอบความเมา  พฤติการณ์ทำให้ประชาชนไม่มั่นใจว่าการสอบสวนจะเป็นไปด้วยความยุติธรรมอย่างแท้จริง

ผู้ขับรถที่เกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะกรณีที่เห็นได้ชัดว่าเป็นฝ่ายฝ่าฝืนกฎจราจร  ถือว่ามีเหตุหรือ  “พฤติการณ์อันควรเชื่อว่าเมา”  พนักงานสอบสวนมีอำนาจตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 10)  มาตรา 142  สั่งให้ทดสอบได้

หากมีเหตุชัดเจนแล้วไม่ยอม ก็ไม่เห็นต้องวุ่นวายอะไร  เพราะตามวรรคสี่ “ให้สันนิษฐานว่าเมา”  ทันที

แต่กรณีหญิงชายขับรถโดยไม่ได้ฝ่าฝืนกฎหมายอะไร กลับถูกตำรวจตามด่านต่างๆ สั่งให้เป่ากันจนปากโป่งมากมาย  กลายเป็นเรื่องแปลกประหลาดของโลก!

เรื่องอื้อฉาวล่าสุด ก็กรณีสารวัตรสืบสวนในจังหวัดพิษณุโลกแชทไลน์ถึงหญิงสาวที่เป็นแฟนเก่าบอกว่าเหงาและคิดถึงจนทนไม่ไหว!    

เมื่อเขาไม่เล่นด้วยเพราะมีคนรักใหม่ ก็โพสต์ภาพลามกที่แอบถ่ายไว้  และบอก  จะยิงให้ตายอย่างหมาข้างถนน

ตามราวีจนแฟนใหม่ของหญิงสาวทนไม่ได้  พาขึ้นโรงพักไปแจ้งความ เป็นข่าวผ่านโซเชียลออกมา

สุดท้าย  “สารวัตรสืบ”   ได้วิ่งโร่มาเจรจา ขออย่าเอาเรื่องได้ใหม?

ในกรณีนี้ นอกจากจะเป็นความผิดข้อหา  “ทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือตกใจโดยการขู่เข็ญ  ผิดกฎหมายอาญามาตรา  392       มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทแล้ว

            การโพสต์ภาพลามก ยังอาจเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (4)  มีโทษจำคุกถึงห้าปี

เหล่านี้ถือเป็นกรณีความผิดต่อรัฐทั้งสิ้น เพียงแต่บางข้อหาสามารถเปรียบเทียบปรับชั้นสอบสวนได้

แต่ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาไกล่เกลี่ยให้ยอมความกันเหมือนคดียักยอกฉ้อโกงโดยไม่มีการดำเนินคดีตามกฎหมายแต่อย่างใด

ทำให้นึกถึงคดีที่ ร.ต.อ.ในจังหวัดราชบุรีขับรถพาหญิงสาวเข้าโรงแรมหวังข่มขืน  ชกต่อย ตบบ้องหูจนแก้วหูแตกเลือดไหลอาบแก้ม!

จนกระทั่งป่านนี้  การดำเนินคดีทั้งอาญาและวินัยก็ยังไม่ปรากฎความคืบหน้าถูกลงโทษแต่อย่างใด  และผู้บังบัญชาก็ไม่ได้สั่ง  “ให้ออกจากราชการไว้ก่อน” หรือแม้กระทั่ง  “พักราชการ”

เรื่องที่จะพูดถึงเป็นหลักวันนี้คือ  “การสอบสวนคดีเกาะเต่า”  ที่แหม่มสาวอายุ 19 ชื่อ Issy เล่าให้สื่ออังกฤษและแม่ฟังว่า  เธอถูกมอมยาข่มขืนที่ชายหาดในคืนวันที่  25 มิ.ย.2561

เธอกับเพื่อนได้ไปแจ้งตำรวจเกาะพงันในวันรุ่งขึ้นตอนเที่ยงเศษ  แต่พนักงานสอบสวนไม่ได้ดำเนินการอะไรแม้แต่จะส่งไปตรวจร่างกาย  และลงบันทึกกลายเป็นเรื่องรับแจ้งของหายแทน?

เธอเสียใจจนทนไม่ไหว จึงได้รีบบินกลับประเทศไป ซึ่งแม่ของเธอให้สัมภาษณ์สื่ออังกฤษตั้งคำถามต่อการทำงานของตำรวจไทยในเวลาต่อมา

สุดท้าย ได้มีการส่งพนักงานสอบสวนไปสอบปากคำเธอที่อังกฤษ  ซึ่งการที่เธอส่งมอบเสื้อยืดที่เชื่อว่ามีคราบอสุจิของคนร้ายติดอยู่ให้เจ้าพนักงาน  นั่นแสดงว่าได้ยืนยันเรื่องถูกข่มขืนและต้องการให้ผู้รับผิดชอบดำเนินการสืบสอบหาตัวผู้กระทำผิดมารับโทษ ถือเป็น  “การร้องทุกข์” ต่อเจ้าพนักงานแล้ว 

จึงไม่มีใครมีอำนาจสรุปว่า  ไม่ได้มีเหตุข่มขืนเกิดขึ้นจริง และไม่ยอมรับคำร้องทุกข์ดำเนินการสอบสวนให้สิ้นกระแสความแต่อย่างใด?

การสรุปดังกล่าว  ทำให้แม่ของแหม่มสาวข้องใจ  กระบวนการเก็บดีเอ็นเอเชื่อถือได้เพียงใด   และการตรวจไม่พบจะบอกว่าไม่ได้มีเหตุการณ์ข่มขืนเกิดขึ้นตามที่ลูกสาวเล่าได้อย่างไร?

เรื่องนี้ ประเด็นที่สำคัญนอกจากเรื่องถูกข่มขืนแล้ว ก็คือหลังเกิดเหตุ  แหม่ม Issy  ได้ไปร้องทุกข์กับตำรวจเกาะพงันให้ดำเนินคดีแล้วหรือไม่?

ปัญหาดังกล่าว มีเพื่อนชายหลายคนไปพร้อมกับเธอด้วยสามารถเป็นพยานได้  หนึ่งในนั้นคือ  David ซึ่งให้สัมภาษณ์ไลฟ์สดกับคุณสุทธิชัยในเวลาต่อมาว่า  ตนเองก็ถูกมอมยาเดินโซเซไปนอนสลบที่ชายหาดบริเวณใกล้เคียง  ถือเป็นผู้เสียหายคนหนึ่ง

มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อตอนตีห้า  เดินกลับมาที่พัก  พบ Issy  มาถึงก่อนและได้เล่าให้ฟังเรื่องที่ถูกมอมยาและข่มขืนให้ฟัง  รู้สึกตัวขึ้นมา พบว่ามีชายชาวเอเชียคนหนึ่งยืนข้างหน้ายิ้มให้  แล้วเดินจากไป!

David บอกอีกว่า นอกจากได้พากันไปแจ้งความที่สถานีตำรวจเกาะพงันในวันรุ่งขึ้นแล้ว  ตนก็ได้พยายามไปแจ้งความอีกครั้งที่สถานีตำรวจเกาะเต่าหลังจาก Issy กลับอังกฤษไป รวมทั้งกรณีที่ตนเองก็ถูกมอมยาจนสลบด้วย

ป.วิ อาญามาตรา 2 (7) “คำร้องทุกข์” หมายถึง  การผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ว่ามีผู้กระทำความผิดเกิดขึ้น  จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายและการกล่าวหานั้นมีเจตนาจะให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษ”

มาตรา 124  ผู้เสียหายจะร้องทุกข์ต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่รองหรือเหนือพนักงานสอบสวน  และเป็นผู้มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยตามกฎหมายก็ได้

เมื่อมีหนังสือร้องทุกข์เช่นกล่าวแล้ว  ให้รีบจัดการส่งไปยังพนักงานสอบสวน

            มาตรา  130  ให้เริ่มการสอบสวนโดยมิชักช้า                              

มาตรา 131  ให้พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานทุกชนิดเท่าที่สามารถจะทำได้  เพื่อจะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับความผิด  เพื่อจะรู้ตัวผู้กระทำผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา

มาตรา 140  เมื่อพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบเห็นว่า  การสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว  ให้จัดการดังนี้

(1)กรณีไม่ปรากฎว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำผิดในคดีมีโทษจำคุกไม่เกินสามปี  ให้งดการ

สอบสวนและบันทึกเหตุนั้นไว้  แล้วส่งพร้อมสำนวนไปยังพนักงานอัยการ

ถ้าโทษเกินกว่าสามปี  ให้ส่งสำนวนไปยังพนักงานอัยการพร้อมทั้งความเห็นควรงดสอบสวน

(2) ถ้ารู้ตัวผู้กระทำผิด แต่ยังจับไม่ได้  ให้ทำความเห็นควรฟ้องหรือไม่ฟ้องส่งไปยัง

พนักงานอัยการ

ไม่มีตำรวจคนใดมีอำนาจสั่ง  “ตรวจสอบหรือสืบสวนข้อเท็จจริง” ตามคำร้องทุกข์  

แล้วสรุปว่า ไม่ได้มีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้น  โดยไม่ดำเนินการสอบสวนตามกฎหมายสรุปสำนวนส่งให้พนักงานอัยการสั่งคดีแต่อย่างใด