9ปีที่รอคอย!ศาลสั่งจำคุก1ปีตร.ปราจีนฯซ้อมยัดข้อหาเด็กม.6

9ปีที่รอคอย!ศาลสั่งจำคุก1ปีตร.ปราจีนฯซ้อมยัดข้อหาเด็กม.6

ศาลพิพากษาจำคุก 1 ปี ตำรวจปราจีนฯ ซ้อมทรมานยัดข้อหาเด็ก ม.6 โดยให้รอลงอาญา 2 ปี พร้อมปรับ 8พันบาท “พ่อเหยื่อ” เผย 9 ปีที่รอคอยพิสูจน์ลูกชายเป็นแพะ แต่ไม่เห็นพ้องบทลงโทษ เตรียมอุทธรณ์ต่อเพื่อแสวงหาความยุติธรรมกลับคืนมาให้ได้

จากกรณีที่นายฤทธิรงค์ ชื่นจิตร  เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปราจิณราษฎรอำรุง (ในขณะนั้น) โจทก์ฟ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคน สังกัดกองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรีพร้อมพวกเป็นจำเลย ต่อศาลจังหวัดปราจีนบุรี เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.925/2558. ว่า เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 จำเลยได้ร่วมกันซ้อมทรมานเพื่อให้ตนเองรับสารภาพในข้อหาวิ่งราวทรัพย์ ทั้ง ๆ ที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้กระทำผิด เหตุเกิดที่สถานีตำรวจภูธรเมืองปราจีนบุรีนั้น

 

ศาลปราจีนบุรีได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ก.ย.2561 ว่า พันตำรวจโทวชิรพันธ์  โพธิราช มีความผิดจริง ส่วนพันตำรวจโทปัญญา เรือนดี ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง

 

จากพยานหลักฐานที่ได้จากการพิจารณา ศาลเชื่อว่า โจทก์ได้ถูกพันตำรวจโทวชิรพันธ์  จำเลย ทำร้ายเพื่อให้รับสารภาพจริง จึงมีความผิดตามประมวลอาญา มาตรา 157 มาตรา 200 มาตรา 295 มาตรา 309 มาตรา 301 มาตรา 391 และมาตรา 83   ให้ลงโทษฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  ลงโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 12,000 บาท แต่จำเลยที่ 3 ให้การเป็นประโยชน์ ศาลลดโทษกึ่งหนึ่งคือ 1 ใน 3  เหลือจำคุก 1 ปี ปรับ 8,000 บาท  ด้วยวิชาชีพของจำเลย และไม่ปรากฏว่าจำเลย เคยถูกลงโทษมาก่อน ให้รอลงอาญา 2 ปี

 

ส่วนพันตำรวจโทปัญญา ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่าได้ทำร้ายโจทก์ เพียงแต่เปิดประตูแล้วถามว่า โจทก์รับสารภาพแล้วหรือยัง อีกทั้งโจทก์ไม่ได้เบิกความว่า ได้ร่วมทำร้ายโจทก์ แต่รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่โจทก์ถูกซ้อมทรมาน  แต่เนื่องจากขณะที่เปิดประตูและถามว่าโจทก์รับสารภาพหรือยังนั้น ไม่ได้เห็นแจ้งว่าพูดในขณะที่โจทก์ถูกคลุมถุงที่จะทราบได้ว่าผู้พูดเป็นใคร คำให้การโจทก์จึงไม่ยืนยันพฤติกรรมการกระทำความผิดของพันตำรวจโทปัญญา เป็นเหตุให้มีข้อสงสัย ศาลจึงยกประโยชน์ต่อความสงสัยนั้นและยกฟ้องจำเลยดังกล่าว

 

ด้านนายสมศักดิ์ ชื่นจิตร บิดานายฤทธิรงค์ กล่าวภายหลังรับฟังคำพิพากษาว่า  เรารอคอยความยุติธรรมมา ตลอด 9 ปี  หวังให้ความจริงปรากฏ ครอบครัวของเราต้องเป็นเหยื่อของเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำร้ายร่างกายประชาชน ซ้อมทรมานให้รับสารภาพในความผิดอาญาที่เราไม่ได้เป็นผู้กระทำ สิ่งที่ลูกชายได้พูดมาตลอดระยะเวลา 9 ปี เป็นความจริง มิได้เป็นการใส่ร้ายกล่าวหาตำรวจ   ชาวบ้านธรรมดาที่ต้องทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนในครอบครัวให้มีกินสุขสบายก็ยากลำบากแล้ว ใครจะไปกล้าให้ร้ายกล่าวหาตำรวจผู้ที่มือข้างหนึ่งถืออำนาจรัฐและมืออีกข้างยังถือปืนกุญแจมือพร้อมด้วยกฎหมาย ชาวบ้านกลัวและไม่กล้ายุ่งเกี่ยว

 

“คำพิพากษาดังกล่าวพิสูจน์ว่าสิ่งที่ลูกชายพูดมาตลอด 9 ปี เป็นความจริงมิได้ให้ร้ายกล่าวหาตำรวจ แต่สิ่งที่ไม่เห็นพ้องคือบทลงโทษ ซึ่งก็ต้องร้องขอในชั้นอุทธรณ์ต่อไป  ผมมีหน้าที่ปกป้องครอบครัวและคนที่ผมรัก จึงต้องแสวงหาความยุติธรรมกลับคืนมาให้ได้” บิดานายฤทธิรงค์ ระบุ.