‘คดีน้องชมพู่’ ชุลมุนวุ่นวายเพราะการสอบสวนและการฟ้องคดีวิปริตผิดกฎหมาย ๒

‘คดีน้องชมพู่’ ชุลมุนวุ่นวายเพราะการสอบสวนและการฟ้องคดีวิปริตผิดกฎหมาย ๒

ยุติธรรมวิวัฒน์

                 “คดีน้องชมพู่” ชุลมุนวุ่นวายเพราะการสอบสวนและการฟ้องคดีวิปริตผิดกฎหมาย

                                            พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร

ความผิดฐาน “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา” นั้น เจตนาในการกระทำของผู้กระทำก็เพื่อให้ผู้อื่นซึ่งเป็นผู้ถูกกระทำนั้นถึงแก่ความตาย  ส่วนความผิดฐาน “ทอดทิ้งเด็กอายุยังไม่เกินเก้าปีไว้ ณ ที่ใด เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตนโดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้ผู้ถูกทอดทิ้งถึงแก่ความตาย”  อันความผิดตาม ป.อาญา มาตรา ๓๐๖ ประกอบกับมาตรา ๓๐๘ นั้น  เจตนาของผู้กระทำที่มีต่อเด็กผู้ถูกกระทำ  ก็เพียงเพื่อให้เด็กที่ตนมีหน้าที่ดูแลอยู่พ้นไปเสียจากตนเท่านั้น  ความตายที่เกิดขึ้นภายหลังจากนั้น  จึงอยู่นอกเหนือเจตนาของผู้กระทำ  เพียงแต่ผู้กระทำอาจต้องรับโทษหนักขึ้นกว่าการที่ได้กระทำไปนั้น  หากว่าความตายที่เกิดแก่เด็กนั้นเป็นผลที่ตามธรรมดาย่อมขึ้นได้จากการกระทำอันเป็นความผิดตามมาตรา ๓๐๖ แห่ง ป.อาญา (ป.อาญา มาตรา ๓๐๘ ประกอบมาตรา ๖๓)

ความผิดฐาน “ฆ่าผู้อื่น” กับความผิดฐาน “ทอดทิ้งเด็ก” นั้น  มีลักษณะของการกระทำที่กระทำต่อตัวเด็กต่างกัน  ทั้งเจตนาในการกระทำก็ยังต่างกันอีกด้วย  (นำตัวไปปล่อยทิ้งเพื่อ……กับ ทอดทิ้งเพื่อ………..)  ความผิดนั้นจึงเป็นความผิดที่ต่างกรรมกัน  หรือความผิดคนละกรรม คนละกระทงความผิดกัน

การฟ้องในความผิดหลายกรรมหรือหลายกระทง  ป.วิ อาญา มาตรา ๑๖๐ ได้บัญญัติให้ฟ้องแยกกระทงเรียงเป็นลำดับกันไป  แต่คำฟ้องนั้นกลับได้รวมความผิดทั้งสองฐานเข้าด้วยกัน  โดยนำเอาการกระทำที่เป็นองค์ประกอบของความผิดและเจตนาของการกระทำในความผิดทั้งสองฐานนั้นมารวมผสมปนเปคลุกเคล้าให้เข้ากันให้ดูประหนึ่งว่าความผิดที่ฟ้องนั้น  เป็นความผิดที่รวมการกระทำแต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง  (ซึ่งศาลจะลงโทษจำเลยในการกระทำผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามพิจารณาได้ความก็ได้ ตาม ป.วิ อาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคท้าย)  หรือเพื่อให้เห็นว่าความผิดที่ฟ้องนั้นเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท  ฟ้องนั้นจึงเป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายที่ศาลต้องมีคำสั่งยกฟ้องตั้งแต่ชั้นตรวจคำฟ้องตาม ป.วิ อาญา มาตรา ๑๖๑ แล้ว

ข้อ ๕  ป.วิ อาญา มาตรา ๑๕๐ ทวิ  บัญญัติว่า  “ผู้ใดกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น  ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป  เว้นแต่………….

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือเพื่ออำพรางคดี  ผู้กระทำต้องระวางโทษเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น”

บทบัญญัติในวรรคหนึ่งนั้นไม่ได้แสดงให้เห็นถึงห้วงเวลาของการกระทำอันเป็นความผิดไว้โดยชัดแจ้ง  แต่เมื่อได้พิจารณาข้อความว่า  “ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น”  ประกอบกับบทบัญญัติในมาตรา ๑๔๐, ๑๕๔ และ ๑๕๕ แห่ง ป.วิ อาญานั้น  ต้องเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาของการชันสูตรพลิกศพ คือนับตั้งแต่การชันสูตรพลิกศพได้เริ่มขึ้นจนกระทั่งเสร็จสิ้น

เมื่อการกระทำใดๆ อันเป็นความผิดตามวรรคหนึ่ง  ต้องเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาของการชันสูตรพลิกศพแล้ว  ฉะนั้น  บุคคลที่จะกระทำการใดๆ เช่นนั้นได้  ก็คงมีเพียงผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการชันสูตรพลิกศพเท่านั้น  ซึ่งผู้มีหน้าที่ดังกล่าวก็คือบุคคลทั้งหลายตามที่บัญญัติไว้ในบทบัญญัติว่าด้วย “การชันสูตรพลิกศพ” ใน ป.วิ อาญาเท่านั้น  ซึ่งบุคคลเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีฐานะเป็น “เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา” ทั้งสิ้น  (เป็นเหตุผลที่ต้องนำมาบทบัญญัติของมาตรา ๑๕๐ ทวิ ซึ่งเป็นกฎหมายสารบัญญัติมาบัญญัติไว้ใน ป.วิ อาญา ซึ่งเป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติ)

จำเลยที่ ๑ และ ๒ มิได้เป็นบุคคลที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการชันสูตรพลิกศพ  และไม่ได้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน  จึงเป็น “ตัวการ” ในความผิดตามมาตรา ๑๕๐ ทวิ แห่ง ป.วิ อาญา ไม่ได้  ฟ้องของโจทก์ในข้อ ๑ (ค) จึงเป็นฟ้องที่ผิดกฎหมาย (เจตนารมณ์ของกฎหมาย)

บทบัญญัติในมาตรา ๑๕๐ ทวิ แห่ง ป.วิ อาญา นั้น  มีที่มาจากกรณีคดีวิสามัญฆาตกรรมนายสุเทพ  เรือนใจมั่น หรือ “โจ ด่านช้าง” กับพวกรวม ๖ คน ที่ ต.วังพลับ อ.สองพี่น้อง จว.สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน  ๒๕๓๙  โดยมีพลตำรวจเอกสล้าง  บุนนาค  รองอธิบดีกรมตำรวจฝ่ายปราบปรามขณะนั้น  เป็นผู้บงการวางแผน  จากเหตุดังกล่าวได้เกิดการกระทำโดยมิชอบและโดยทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวกับศพ  สถานที่เกิดเหตุ  และบริเวณแวดล้อมของสถานที่เกิดเหตุ  ตลอดจนความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงผลการตรวจพิสูจน์ต่างๆ  ข้อเท็จจริงของปัญหาดังกล่าวจึงได้ถูกนำมาบัญญัติเป็นกฎหมายเพิ่มเติมไว้  โดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ๒๑) พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๕

ข้อ ๖.  ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘  บัญญัติว่า ฟ้องนั้นต้องมี “ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำอันเป็นความผิดนั้น” ด้วย

คำว่า “สถานที่” นั้น  ย่อมเป็นที่เข้าใจกันได้โดยทั่วไปว่า  เป็นสิ่งที่มีอาณาบริเวณหรือขอบเขตอันจำกัด  เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่รู้ได้แน่นอนและเข้าใจกันได้เมื่อกล่าวถึงสิ่งนั้น   นอกจากข้อเท็จจริงของสถานที่แล้ว  กฎหมายยังบัญญัติว่าต้องมีรายละเอียดของสถานที่นั้นอีกด้วย  แต่ตามคำฟ้องของโจทก์ในข้อ ๑ (ค) ตอนท้าย ระบุไว้แต่เพียงว่า  “เหตุตามฟ้องข้อ ๑ (ก) (ข) และ (ค) เกิดที่ตำบลกกตูม อำเภอดงหลวง  จังหวัดมุกดาหาร

“ตำบล” นั้น  เป็นการแบ่งพื้นที่ในทางการปกครองตาม พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๕๔๗  ซึ่งเขตตำบลในแต่ละตำบลนั้น  ย่อมมีพื้นที่กว้างขวางนับได้หลายสิบตารางกิโลเมตร  เขตตำบลจึงมิได้อยู่ในความหมายของคำว่า “สถานที่” ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๕๘ (๕) แห่ง ป.วิ อาญา  อีกทั้งคำฟ้องนั้นยังทำให้เข้าใจได้ว่า  เหตุตามฟ้องทั้งในข้อ ๑ (ก) (ข) และ (ค) นั้น  เกิดขึ้น ณ ที่แห่งเดียวกัน  ซึ่งเป็นการขัดกับสภาพของข้อเท็จจริงตามฟ้อง  จำเลยไม่อาจเข้าใจข้อหานั้นได้เลย  ฟ้องนั้นจึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ อาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) อีกเช่นกัน

ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ : ฉบับวันที่ 18 ธ.ค. 2566