‘วิรุตม์’ชำแหละการสอบสวนแบบโง่ๆและไม่สุจริตคดี’ไพวัลย์  แซ่ลี้’ไปแจ้งความรถถูกคนร้ายยักยอกกลับโดนตร.รีดไถคับแค้นใจต้องฆ่าตัวตาย

‘วิรุตม์’ชำแหละการสอบสวนแบบโง่ๆและไม่สุจริตคดี’ไพวัลย์  แซ่ลี้’ไปแจ้งความรถถูกคนร้ายยักยอกกลับโดนตร.รีดไถคับแค้นใจต้องฆ่าตัวตาย

เมื่อวันที่9พ.ค.62 พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตรองผู้บังคับการจเรตำรวจ คอลัมนิสต์”เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ”  กล่าวถึงเหตุการณ์โศกนาฎกรรมที่นายไพวัลย์  แซ่ลี้  ชาวจังหวัดร้อยเอ็ด   ได้ฆ่าตัวตายด้วยการปิดห้องรมควันจนขาดอากาศหายใจในบ้านพักย่านสมุทรปราการโดยได้เขียนจดหมายลาตายระบายความในใจถึงพล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กรณีไปแจ้งความตำรวจนครบาล สน.โชคชัย เรื่องรถที่นำไปจำนำถูกคนร้ายยักยอกไป ไม่สามารถไถ่ถอนได้  ซ้ำถูกพนักงานสอบสวนรีดไถขอ “ค่าสืบสอบ” อีกรวม5พันบาท ว่า นายไพรวัลย์คงกัดฟันยอมจ่ายเงินไป  หวังให้ตำรวจจับคนร้ายรวมทั้งได้รถคืน  แต่เฝ้ารอและคอยติดตามถามไถ่ด้วยอดทนจนเวลาผ่านไปถึง 7 เดือน  คดีกลับไม่มีความคืบหน้าอะไร  ไม่มีเครื่องมือทำมาหากิน  สิ้นหนทางประกอบอาชีพดำรงชีวิต  จึงได้ตัดสินใจฆ่าตัวตายดังกล่าว

 

พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าวว่า หลังเรื่องนี้เป็นข่าวตำรวจน้อยใหญ่ต่างให้ข่าวว่า กำลังตั้งกรรมการสอบสวนพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบว่าได้การเรียกรับเงินตามหลักฐานนั้นหรือไม่และแทนที่จะใช้คำให้การของนายไพวัลย์ ที่เขียนทิ้งไว้เป็นหลักฐานในการเริ่มคดีอาญา  แต่กลับมีความพยายามจะไปสอบปากคำญาติพี่น้องว่ารู้เห็นการเรียกรับสินบนดังกล่าวหรือไม่            ซึ่งถ้าญาติพี่น้องไม่ให้การยืนยัน หรือคนสอบไปถามและบันทึกเป็นอย่างอื่น   นั่นหมายความว่า  คำให้การก่อนตายของนายไพวัลย์  ไม่เป็นความจริงกระนั้นหรือ?

 

“นี่คือปัญหาการสอบสวนแบบโง่ๆ และไม่สุจริตใจในการค้นหาความจริงเกี่ยวกับการกระทำผิดอาญาซึ่งเกิดขึ้นในประเทศไทยอยู่มากมายตลอดเวลา               เรื่องนี้เป็นคดียักยอก ผู้เสียหายรู้ตัวกระทำผิดอยู่แล้วว่าเป็นใคร  ในทางปฏิบัติ  แค่รับคำร้องทุกข์ออกเลขคดีแล้วมีหมายเรียกผู้ต้องหามาแจ้งข้อหา ถ้าออกหมายเรียกไปสองครั้งแล้วไม่ยอมมา  ก็เสนอศาลออกหมายจับเท่านั้นเอง ไม่เห็นจะยากเย็นหรือต้องขอ “ค่าสืบสอบ” นอกกฎหมายจากประชาชนผู้เสียหายแต่อย่างใด   เพราะพวกเขาได้จ่ายภาษีให้รัฐจัดงบประมาณให้ตำรวจแห่งชาติไปในแต่ละปีถึงหนึ่งแสนสามหมื่นล้านบาทมิใช่หรือ”

 

อดีตรองผู้บังคับการจเรตำรวจ กล่าวต่อว่า  ปัญหาคือ  เมื่อนายไพวัลย์ ไปแจ้งความร้องทุกข์  พนักงานสอบสวนได้รับคำร้องทุกข์เข้าสารบบคดีทันทีตามกฎหมายหรือไม่ ตามข้อเท็จจริง อาจกล่าวได้ว่าปัจจุบันการรับแจ้งความของตำรวจล้วนแต่ทำเพียง  “ลงบันทึกประจำไว้เป็นหลักฐานเพื่อจะได้ดำเนินการต่อไป”   โดยไม่ยอมออกเลขคดีอาญาเข้าสารบบราชการกันแทบทั้งสิ้น  การลงบันทึกประจำวันโดยไม่ปรากฏเลขคดี  ในข้อเท็จจริงก็คือ ไม่ได้มีการสอบสวนคดีนั้นตามกฎหมาย  และจะปล่อยให้ล่าช้าไปนานกี่เดือนหรือกี่ปี โดยไม่ต้องมีการสรุปสำนวนการสอบสวนเสนอพนักงานอัยการก็ได้             เป็นความผิดที่ไม่ถูกตรวจสอบการสอบสวนจากบุคคลหรือองค์กรใดอย่างสิ้นเชิง

 

“แต่ถ้ามีการออกเลขคดีไม่ว่าจะเป็นกรณีรู้ตัวผู้กระทำผิดหรือไม่ก็ตาม  การสอบสวนจะถูกบันทึกเข้าสารบบและถูกบังคับให้ดำเนินการไปตามกฎหมายในแต่ละขั้นตอน   ไม่ว่าจะเป็นการออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหามาแจ้งข้อหาหรือเสนอศาลออกหมายจับตามระยะเวลาที่กำหนดไว้     และในระยะเวลาดังกล่าวจะต้องสรุปสำนวนการสอบสวนเสนอพนักงานอัยการสั่งคดีนั้นว่าจะสั่งฟ้อง  สั่งไม่ฟ้อง  หรืองดสอบสวนกรณีที่สืบสอบมานานพอสมควรแล้วยังไม่รู้ตัวผู้กระทำผิด”

 

พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าวอีกว่า การรับแจ้งความแบบไม่ออกเลขคดีนั้น  เป็นวิธีวิปริตวิธีหนึ่งที่ตำรวจไทยนำมาใช้ตามที่ผู้บังคับบัญชาระดับต่างๆ สั่งไว้เพื่อไม่ให้สถิติอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น    หลอกทั้งรัฐบาลและประชาชนตลอดมาว่า  ทุกหน่วยสามารถป้องกันอาชญากรรมตามตัวชี้วัดได้ รวมทั้งเป็นช่องทางในการ  “ล้มคดี”  ช่วยผู้กระทำผิดไม่ให้ได้รับโทษอาญาได้ง่ายอีกด้วย  เนื่องจากไม่ต้องทำสำนวนการสอบสวนให้ใครตรวจสอบทั้งสิ้น  ไม่ว่าจะเป็นผู้บังคับบัญชาตำรวจเองหรือพนักงานอัยการ      เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนโดยเฉพาะคนยากจนอย่างแสนสาหัสรวมทั้งเป็นการทำลายหลัก “นิติรัฐ” “นิติธรรม”  ซึ่งเป็นหัวใจของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรงอีกด้วย

 

“คุณไพวัลย์ เขียนจดหมายระบบความคับแค้นใจจากปัญหาการสอบสวนของตำรวจแห่งชาติ  โดยใช้ลมหายใจของตนเองส่งถึงพล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา ทั้งในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี                จึงอยู่ที่ท่านจะตอบคุณไพรวัลย์ฯ รวมทั้งแก้ปัญหาให้ประชาชนคนยากจนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการสอบสวนของตำรวจไทยที่ทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอยู่ตลอดเวลารวมทั้งคิดอ่านดำเนินการปฏิรูปอย่างไรเท่านั้น?”พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าว

 

เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมา มีผู้พบศพนายไพวัลย์ แซ่ลี้ ก่อเหตุฆ่าตัวตายด้วยการรมควันในห้องพักย่านกิ่งแก้ว จ.สมุทรปราการ โดยมีกระดาษสมุดเขียนจดหมายลาตายรวม 2 ฉบับ ฉบับแรกมีข้อความถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตนเองได้นำรถกระบะมาสด้า ทะเบียน 6723 ร้อยเอ็ด ไปจำนำไว้ตั้งแต่ 15 มกราคม 2561 ต่อมาวันที่ 23 มกราคม 61 ได้ติดต่อคนที่รับจำนำ แต่ไม่สามารถติดต่อไถ่ถอนคืนกลับมาได้ จึงเข้าแจ้งความดำเนินคดีคนรับจำนำที่ สน.โชคชัย และตำรวจยศ พ.ต.ท. ได้เรียกเงิน 3,000 บาท กับค่าสืบอีก 2,000 บาท ตนก็จ่ายไป แต่ผ่านมา 7 เดือน คดีไม่มีความคืบหน้าใดๆ ที่จะจับกุมผู้กระทำความผิดและติดตามรถกลับมาได้เลย จึงขอความเป็นธรรมจากท่านนายกฯ ผู้ที่รักษาซึ่งกฎหมายและความยุติธรรม ขอให้ท่านติดตามความคืบหน้า เร่งรัดคดีให้ด้วย

 

ส่วนฉบับที่สองมีข้อความว่า ข้าพเจ้าได้กระทำการฆ่าตัวตายด้วยตนเอง ข้าพเจ้าไม่มีญาติ ไม่มีบ้าน ข้าพเจ้ามีแต่ความล้มเหลว และผิดหวัง ขอความกรุณาเจ้าหน้าที่มูลนิธิช่วยเผาศพให้แก่ข้าพเจ้าด้วย เงินจำนวนนี้ + โทรศัพท์ 2 เครื่อง และของในห้องทุกๆ อย่าง ขอมอบให้แก่เจ้าหน้าที่มูลนิธิที่ช่วยเผาศพของข้าพเจ้า

 

ต่อมาเมื่อวันที่ 7พ.ค.พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจาก พล.ต.ต.ธีระพงษ์ วงษ์รัฐพิทักษ์ ผบก.น.4 ว่าได้มีคำสั่งให้ พ.ต.ท.ประทวน แมลงทับ สารวัตร (สอบสวน) สน.โชคชัย ไปปฏิบัติหน้าที่ประจำศูนย์ปฏิบัติการ กองบังคับการตำรวจนครบาล 4 (ศปก.บก.น.4) หลังถูกพาดพิงทำสำนวนล่าช้าและเรียกรับเงินในคดียักยอกทรัพย์ พร้อมสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เบื้องต้นยอมรับว่าทำสำนวนค่อนข้างล่าช้า และไม่ได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ส่วนเรื่องการเรียกเก็บเงิน จะเชิญผู้เกี่ยวข้องและคนใกล้ชิดผู้เสียหายมาสอบปากคำ โดยได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาผู้เกี่ยวข้องแล้ว บางคนมีหมายจับติดตัวอยู่ ซึ่งกำลังดูว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับขบวนการปล่อยเงินกู้ด้วยหรือไม่

 

มีรายงานด้วยว่า เมื่อวันอังคาร พ.ต.อ.สิทธิชัย ศรีโสภาเจริญรัตน์ รอง ผบก.น.4 เป็นประธานประชุมติดตามคดียักยอกทรัพย์ดังกล่าว พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เบื้องต้นมีคำสั่งให้เปลี่ยนพนักงานสอบสวนในคดีนี้ใหม่ พร้อมดำเนินการทางวินัยกับ พ.ต.ท.ประทวน แมลงทับ สว. (สอบสวน) สน.โชคชัย หลังพบความบกพร่องจากการทำคดีล่าช้า และไม่แจ้งความคืบหน้าผลการดำเนินคดีต่อผู้เสียหาย โดยสั่งย้ายให้ไปช่วยราชการที่ ศปก.บก.น.4 จนกว่าจะสอบสวนเสร็จภายใน 7 วัน ทั้งนี้ พ.ต.อ.สิทธิชัยได้เรียก พ.ต.อ.จักรภัณฑ์ จันทรอุทัย ผกก.สน.โชคชัย และ พ.ต.ท.ประทวน แมลงทับ ผู้ถูกกล่าวหา มาพูดคุยสอบถามข้อเท็จจริงด้วย

 

ขณะที่ พ.ต.อ.จักรภัณฑ์ จันทรอุทัย ผกก.สน.โชคชัย กล่าวว่า พ.ต.ท.ประทวนทำงานดี ไม่เคยมีประวัติเสียหาย ไม่เคยถูกร้องเรียนถึงพฤติกรรมเรียกรับส่วยมาก่อน แต่ยอมรับว่าเป็นคนทำงานช้า จากการสอบสวนเบื้องต้น พ.ต.ท.ประทวนยืนยันไม่ได้รับสินบน แต่ไม่ได้แจ้งให้ผู้ตายทราบว่าสามารถจับคนร้ายที่ยักยอกทรัพย์ไปแล้ว 1 รายตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งตนในฐานะผู้บังคับบัญชาจะไม่ช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชาเด็ดขาด ให้ว่ากันตามความผิด โดยเรื่องทางอาญาต้องดำเนินการตรวจสอบ หาพยานหลักฐานว่าเป็นไปตามที่ระบุไว้ในเนื้อหาของจดหมายลาตายหรือไม่ เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีพยานหลักฐานอื่น ที่สำคัญยังไม่สามารถติดต่อญาติผู้เสียชีวิตได้

 

ทางด้าน พ.ต.ท.ประทวน กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ได้รับสินบนตามที่ถูกกล่าวหา ยอมรับว่าเป็นผู้ทำคดีดังกล่าวจริง และทำอย่างตรงไปตรงมา รู้สึกเสียใจ ทั้งชีวิตไม่เคยเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้มาก่อน แต่จะขอทำหน้าที่ต่อไปให้ดีที่สุด.

 

เมื่อวันที่8พ.ค.พ.ต.อ.จักรภัณฑ์ จันทรอุทัย ผกก.สน.โชคชัย กล่าวถึงความคืบหน้าคดีดังกล่าว ว่า สำหรับคดีนี้ ผู้เสียชีวิตได้แจ้งดำเนินคดีกับผู้ต้องหา 3 คน ซึ่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จับได้ 1 คน ส่วนอีก 2 คน อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน เตรียมออกหมายจับในเร็วๆ นี้

 

“ในส่วนการดำเนินการเอาผิด พ.ต.ท.ประทวน เจ้าของคดีนั้น ขณะนี้พบความผิดเพียงข้อเดียว คือการทำคดีล่าช้า ส่วนการเรียกรับสินบนยังฟันธงไม่ได้ ต้องรอผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสียก่อน คาดไม่เกิน 7 วันจะรู้ผล อย่างไรก็ตาม หลังเป็นข่าวเมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา ครอบครัวของ พ.ต.ท.ประทวนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ลูกถูกตำหนิและด่าทอผ่านเฟซบุ๊กทั้งที่ไม่รู้เรื่องใด ขณะที่ พ.ต.ท.ประทวนเองก็เครียดหนัก เพราะไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา และไม่เคยโดนแบบนี้มาก่อน”พ.ต.อ.จักรภัณฑ์ กล่าว