มิติใหม่ ‘อัยการไทย’   ‘สอบพยาน’ และ ‘รวบรวมหลักฐานเอง’ได้

มิติใหม่ ‘อัยการไทย’  ‘สอบพยาน’ และ ‘รวบรวมหลักฐานเอง’ได้

                          มิติใหม่ “อัยการไทย”

 “สอบพยาน” และ “รวบรวมหลักฐานเอง” ได้

                                                                                                    พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร

 

มีผู้คนที่สนใจปัญหางานรักษากฎหมายและกระบวนการยุติธรรมทางอาญาถามกันมากกว่า ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจ ฉบับที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของสองสภาขณะนี้ จะส่งผลทำให้มีการปฏิรูป ระบบตำรวจและการสอบสวนคดีอาญา ของชาติบ้างหรือไม่ มากน้อยเพียงใด?

ขอเรียนว่า ประชาชนทุกคนไม่ควรเสียเวลาให้ความสนใจต่อร่างกฎหมายฉบับนี้แต่อย่างใด!

เนื่องจาก ไม่ได้เป็นการปฏิรูประบบตำรวจและการสอบสวนอย่างแท้จริง ตามเสียงเรียกร้องของประชาชนและสอดคล้องกับมาตรฐานสากลอะไร!

เนื่องจากเป็นร่างกฎหมายที่ ตำรวจผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่ง สุมหัวกันร่างขึ้น!

แทนการใช้หรือแม้กระทั่งปรับแก้ไขร่างฉบับมีชัย  ฤชุพันธุ์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นประธานกรรมการดำเนินการอยู่นานนับปี 

โดยถือว่ามีเนื้อหาเป็นการปฏิรูประบบตำรวจอย่างมีนัยสำคัญระดับหนึ่ง                

ซึ่งก็แน่นอนว่าเมื่อมีการเปิดโอกาสให้กลุ่มตำรวจผู้ใหญ่ร่างขึ้นใหม่

ก็ย่อมไม่มีประเด็นสำคัญที่เป็นการปฏิรูปหรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงอะไรที่จะทำให้ตัวเองและพวกพ้องต้องมีอำนาจน้อยลง หรือสูญเสียอำนาจเป็นอันขาด!

เช่น เรื่อง การกระจายอำนาจตำรวจสู่จังหวัดตามเสียงเรียกร้องของประชาชน ผู้ว่าฯ ไม่ว่าจะมาจากการแต่งตั้งหรือเลือกตั้ง ต้องสามารถสั่งงานและตรวจสอบควบคุมตำรวจทุกระดับได้ ก็ไม่ปรากฏ

หรือ การกำหนดให้ผู้ปฏิบัติงานสายการแพทย์ พยาบาล พิสูจน์หลักฐาน การศึกษา เป็นตำรวจประเภทที่ไม่มียศเพื่อการรบแบบทหาร

รวมทั้ง การโอนหน่วยตำรวจเฉพาะทางตามกฎหมาย ไปให้กระทรวงทบวงกรมที่มีหน้าที่รับผิดชอบตามมติสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่เสนอต่อนายกรัฐมนตรี ก็ไม่มีการกำหนดระยะเวลาดำเนินการที่ชัดเจน

ส่วนใหญ่แค่เขียนไว้ให้เป็นความเห็นชอบของ ก.ตร. ซึ่งประกอบด้วย ผบ.ตร. และรอง ผบ.ตร. เป็นเสียงส่วนใหญ่ หมกเม็ด “ซื้อเวลา” เอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้!

จึงทำให้ไม่รู้ว่าอีกกี่สิบปี หน่วยตำรวจมากมายที่ผู้ปฏิบัติงานไม่จำเป็นต้องมียศและวินัยแบบทหารเหล่านี้จะได้โอนไปสังกัดกระทรวงทบวงกรมที่มีหน้าที่ตามกฎหมาย เช่นระบบตำรวจในประเทศที่เจริญทั่วโลกเสียที!

ระหว่างนี้ก็ได้มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจเกิดขึ้นในวงการ อัยการรุ่นใหม่!

ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอัยการที่เบื่อหน่ายต่อการ นั่งอ่านสำนวนสอบสวน ที่ตำรวจทำส่งไปให้ “สั่งฟ้อง” “สั่งไม่ฟ้อง” หรือ “งดสอบสวน”

ซึ่งหลายคดีมีลักษณะเป็น “นิยายสอบสวน”!

แต่ “อัยการไทย” ตกอยู่ในสภาพ “ถูกปิดตา”

โดยแทบทุกคนไม่อาจรู้ได้ว่าผู้ต้องหามีข้อต่อสู้และพยานหลักฐานอะไรได้กระทำความผิดจริงตามหลักฐานและคำพยานที่ตำรวจสอบไว้ทำให้ปรากฏในสำนวนการสอบสวนนั้นจริงหรือไม่?

ส่งผลทำให้แทบทุกคน ต้องสั่งฟ้องไปทั้งที่ไม่มั่นใจว่าจะสามารถพิสูจน์ความผิดให้ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยได้ในหลายคดี!

ผลการสำรวจวิจัยในเรื่องนี้ของสำนักงานอัยการสูงสุดที่สอบถามอัยการทั่วประเทศจำนวนเกือบ 2,000 คน

กว่าร้อยละ 90 ตอบว่า การปฏิบัติหน้าที่มีปัญหา ต้องสั่งคดีไปทั้งที่ไม่ได้ความจริงครบถ้วนจากสำนวนการสอบสวน”!

และการใช้อำนาจสั่งไปให้ตำรวจสอบเพิ่มเติม ก็มีข้อจำกัดมากมาย

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประเด็นที่จะสั่งให้สอบเพิ่มนั้นต้องปรากฏในสำนวน ปัญหาระยะเวลาใกล้ครบฝากขัง

รวมทั้งไม่ว่าจะสั่งให้สอบเพิ่มไปกี่ครั้ง ก็ยังไม่ทำให้ได้ความจริงเช่นเดิมแต่ก็จำใจต้องสั่งคดีไป!

ผู้บริหารรุ่นใหม่ของสำนักงานอัยการสูงสุด จึงได้มีความคิดเห็นตรงกันว่า จะต้องแก้ปัญหาที่คาราคาซังอยู่นี้ด้วยการมีคำสั่งตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการสอบสวนคดีสำคัญ ขึ้นตรงต่อ อสส.

มีหน้าที่ในการรวบรวมพยานหลักฐานในคดีอาญาสำคัญหรือที่ประชาชนให้ความสนใจทั่วประเทศ

โดยอาศัย อำนาจตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการ ในการ ปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อค้นหาพยานหลักฐาน นำไปสู่การให้ความยุติธรรมต่อประชาชนอย่างแท้จริง

มี เจ้าพนักงานคดี ผู้มีคุณวุฒิทางกฎหมาย ช่วยทำหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานในคดีสำคัญตามที่กำหนดไว้หรือคดีที่ประชาชนสนใจ ตั้งแต่เกิดเหตุ

เช่นเดียวกับบทบาทของอัยการในทุกประเทศที่เจริญทั่วโลก แม้กระทั่งเวียตนาม และ สปป.ลาว!

นอกจากนั้น ต่อคดีที่มีปัญหาพยานหลักฐานในสำนวนไม่ครบถ้วน หรือไม่เพียงพอที่จะทำให้อัยการสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดีด้วยความมั่นใจและพิสูจน์การกระทำผิดให้ศาลพิพากษาลงโทษได้

สำนักงานอัยการสูงสุดจะไม่ใช้วิธีส่งกลับไปให้ตำรวจสวนสอบเพิ่มเติมให้เสียเวลาอีกต่อไป

แต่จะ สั่งให้พนักงานสอบสวนนำผู้เสียหาย ผู้ต้องหา หรือพยาน มาที่สำนักงานอัยการจังหวัดหรือเขตเพื่อสอบปากคำเพิ่มเติมต่อหน้า

ถ้าทำได้ จะถือเป็น “มิติใหม่” ของอัยการไทย 

ในการทำให้ได้มีโอกาส “เห็น” และ “รับรู้” พยานหลักฐาน รวมทั้งสถานที่เกิดเหตุตั้งแต่เกิดการกระทำผิด

ไม่ตกอยู่ใน “วังวน” “กระบวนการทางอาญาที่วิปริต” เช่นปัจจุบันอีกต่อไป.

ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์  คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ ฉบับวันที่ 4 ก.ค. 2565