ตำรวจไทย กับ ‘หมายไม่จับ'(คนรวยส่วยถึง)

ตำรวจไทย กับ ‘หมายไม่จับ'(คนรวยส่วยถึง)

ยุติธรรมวิวัฒน์

ตำรวจไทย กับ “หมายไม่จับ”(คนรวยส่วยถึง)

 

                                                                        พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร

 

    เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาช่วงบ่าย ได้มีโอกาสฟังนายวิษณุ  เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายตอบกระทู้สดของนายธีรัชชัย  พันธุมาศ  สส.พรรคก้าวไกล แทนพลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี 

ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและ ผบ.ตร.โดยตรงแต่เพียงผู้เดียว?

เป็นกระทู้ถามเกี่ยวกับปัญหาการสอบสวนคดีบอสและการดำเนินคดีอาญากับ “แก๊งซ่องโจรพลตำรวจเอก” เปลี่ยนความเร็ว!”

รวมทั้ง “ไอ้โม่งผู้บงการ” และ “นายพลตำรวจผู้สั่งย้ายนายตำรวจที่พยายามตามจับบอสให้พ้นจากหน้าที่ไป”  ซึ่งนายธีรัชชัยได้เคยอภิปรายตั้งข้อสังเกตรวมทั้งตั้งกระทู้ถามไว้

ซ่องโจรใหญ่แก๊งนี้” กลุ่มที่มีหลักฐานการกระทำผิดอาญาชัดเจนประกอบด้วยพลตำรวจเอก ๒ คน พลตำรวจตรี ๑ คน อัยการ ช. และทนายความ

โดยร่วมกันใช้สถานที่ราชการคือห้องทำงานสำนักงานพิสูจน์หลักฐาน  ซึ่งตั้งอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  เป็นที่ก่ออาชญากรรมในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๙

พูดจาเกลี้ยกล่อมและหว่านล้อมกดดัน” .ต.ท.ธนสิทธิ์  แตงจั่น (ยศขณะนั้น) นักวิทยาศาสตร์ผู้ตรวจพิสูจน์และออกรายงานเรื่องความเร็วของรถบอสขณะชน  ให้คำนวณใหม่!

และแก้ไขความเร็วรถเฟอรารี่ที่ชนรถจักรยานยนต์ของ ดต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ จนถึงแก่ความตายเพราะขับตัดหน้า?  ให้ถูกต้องตามหลักวิชาที่อ้างว่าทันสมัย!

จากที่ได้รายงานไว้ ๑๗๗ กม.ต่อชั่วโมง ทำให้กลายเป็น ๗๙ กม.ต่อชั่วโมงแทน!

หรือจะบอกแค่ “ไม่แน่ใจในรายงานนั้น” ก็ได้

ทั้งนี้ เพื่อที่จะใช้เป็นหลักฐานส่งพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบตามที่ได้สั่งให้สอบเพิ่มเติมสั่งไม่ฟ้องตามหนังสือแนบคำร้องของกรรมาธิการการยุติธรรม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)  เนื่องจากข้อเท็จจริงกลายเป็นว่า

บอสไม่ได้ขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนดคือ ๘๐ กม.ต่อชั่วโมงในเขตเมืองตามที่ถูกกล่าวหาว่าประมาทแต่อย่างใด  และไม่ได้รับความเป็นธรรมจากถูกการดำเนินคดี

แต่ฟังรองนายกรัฐมนตรีอยู่เป็นเวลานานแล้ว ก็ไม่ได้ความกระจ่างอะไร!

มีแต่การพูดวกไปวนมาเรื่องความพยายามตามหาที่อยู่และจับตัวบอสตามหมายศาลซึ่งตำรวจและอัยการกำลังดำเนินการผ่านกระทรวงต่างประเทศอย่างขมีขมัน

ส่วนแก๊งซ่องโจรที่ร่วมกันกระทำผิดกฎหมาย  คำตอบทุกเรื่องสรุปได้ว่า อยู่ระหว่างดำเนินการของหน่วยงานที่รับผิดชอบอย่างจริงจังทั้งสิ้น

ก็ไม่รู้ว่า แต่ละคนจะถูก ปปช.ออกหมายเรียกมาแจ้งข้อหาดำเนินคดีอาญา และ “จับตัว” ส่งให้อัยการฟ้องศาลทุจริตได้เมื่อใด?

ปัจจุบัน “กฎหมาย ปปช.ประเทศไทย” ได้กลายเป็นปัญหาในการดำเนินคดีอาญาต่อข้าราชการที่กระทำผิดกฎหมายโดยเฉพาะข้อหาปฏิบัติหรือละเว้นการหน้าที่โดยมิชอบอย่างยิ่ง!

เนื่องจากแต่ละคดีมีขั้นตอนการดำเนินการที่ต่างไปจากประชาชนมากมาย

เริ่มจากกำหนดให้แสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อความแน่ใจก่อนได้นานนับปี  และกว่าจะเข้าสู่ขั้นตอนการชี้มูลเพราะไต่สวนจนสิ้นสงสัย! ก็อีกหลายปีไปจนกระทั่งมีการดำเนินการส่งให้อัยการยื่นฟ้องต่อศาลและสืบพยานจนถึงเวลาอ่านคำพิพากษา  ก็ใช้เวลานานนับสิบหรือกว่าสิบปี! 

สรุปว่า การสอบสวนคดีของ ปปช.รวมทั้ง ปปท. แค่ขั้นตอนการแจ้งข้อหา ก็ใช้เวลานานกว่ากรณีที่ประชาชนถูกตำรวจกล่าวหานับสิบนับร้อยเท่า!

ตำรวจไทยกับหมายไม่จับ

วกเข้าสู่เรื่องหลักที่จะพูดคุยในวันนี้คือ  กรณี เสี่ยโจ้  ผู้ถือบัญชีส่วยตำรวจสารพัดหน่วยตามภาพด้านล่างและยังมีอีกมากกว่านี้ไว้ในมือ

ตำรวจกองปราบจับกุมเสี่ยโจ้ได้ตามหมายศาลจังหวัดสงขลาที่ ๖๐/๒๕๖๔ ลงวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์  ๒๕๖๔ ในข้อหาฟอกเงินจากการค้าน้ำมันเถื่อน เมื่อคืนวันที่ ๔ พ.ย.๖๔ ที่ผ่านมา  มีการจัดแถลงข่าวผลการจับกุมในวันรุ่งขึ้นอย่างเอิกเกริก

ถูกควบคุมตัวในคืนนั้นไปส่งให้อัยการจังหวัดสงขลาดำเนินการยื่นฟ้องต่อศาล

แต่เหตุการณ์กลายเป็นว่า  อัยการได้สั่งไม่ฟ้องคดีนี้แล้ว ทำให้ต้องปล่อยตัวไปตามกฎหมาย

เพราะได้ตรวจสอบข้อมูลของตำรวจทุกหน่วยทุกระบบรวมทั้ง Crime ที่ทันสมัยทั้งหมายใน (หมายที่สถานีขอต่อศาล) และหมายนอก (หมายที่หน่วยอื่นส่งมาหรือศาลออกเอง) แล้ว  ไม่พบว่ามีหมายจับคดีใดที่จะทำให้สามารถจับและควบคุมตัวเสี่ยโจ้ไว้ได้อีกต่อไป

ทั้งที่ในความเป็นจริง  ยังมีหมายจับของศาลจังหวัดปัตตานีคดีปลอมตราประทับไม้ที่พิพากษาให้จำคุก ๑ ปี ๙ เดือนอยู่

แต่ไม่มีใครทราบว่า เหตุใดหมายจับฉบับนี้จึงไม่ปรากฎเป็นข้อมูลอยู่ในสารบบตำรวจหน่วยใดทั้งสิ้น?

ทำให้ผู้คนสงสัยว่า เมื่อศาลออกหมายจับแล้ว ได้ส่งให้ตำรวจจัดการตามหน้าที่หรือไม่?

ซึ่งต่อมาศาลก็ได้รีบออกเอกสารชี้แจงว่าได้ส่งหมายนี้ให้ ผบก.ตำรวจจังหวัดปัตตานีไปแล้วเมื่อวันที่ ๙ ต.ค. ๒๕๕๗

ปัญหาก็คือ  เมื่อ ผบก.จังหวัดได้รับหมายแล้ว ได้สั่งการและตรวจสอบให้ใครและตำรวจหน่วยใดจัดการตามหมายจับฉบับนี้และบันทึกเข้าสารบบหมายจับของหน่วยงานหรือไม่ และสั่งอย่างไร?

ไม่ว่าจะเป็นการสั่งให้ รอง ผบก. ผกก.สืบสวน และ ผกก.หัวหน้าสถานีทุกแห่งในจังหวัด  เร่งสืบจับตัวบุคคลตามหมายรายงานผลการปฏิบัติให้ทราบทุกระยะ

รวมทั้งทำหนังสือส่งให้ ผบช.ตำรวจภาคทราบเพื่อสั่งการให้ ผบก.สืบสวนและทุกจังหวัดในสังกัดสืบจับอีกทางหนึ่ง

และถ้ายังจับไม่ได้  ก็ต้องทำหนังสือส่งให้กองทะเบียนประวัติอาชญากรดำเนินการ “ออกประกาศสืบจับ” ส่งให้ตำรวจทุกหน่วยและทุกสถานีทั่วประเทศทราบและช่วยกันสืบจับตัวมาให้ได้ภายในอายุความต่อไป

ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์   คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ :  ฉบับวันที่ 15 พ.ย. 2564