‘กมล’ ชงปฏิรูปตำรวจ กระจายอำนาจให้ท้องถิ่น ยุบสตช.เหลือกองปราบฯทำหน้าที่เหมือนเอฟบีไอ

‘กมล’ ชงปฏิรูปตำรวจ กระจายอำนาจให้ท้องถิ่น ยุบสตช.เหลือกองปราบฯทำหน้าที่เหมือนเอฟบีไอ

เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2566 นายกมล กมลตระกูล นักวิชาการอิสระ เผยแพร่บทความ เรื่อง ถึงเวลากระจายอำนาจโครงสร้างตำรวจ(เสียที) มีเนื้อหาดังนี้

มหาโศกนาฏกรรมจาก หนองบัวลำภูที่ตำรวจกราดยิงฆ่าหมู่ประชาชน ถึงกรณีตำรวจมาเป็นบริวารเจ้าพ่อกำนันนกนครปฐมที่ตำรวจน้ำดีถูกสังหารกลางงานเลี้ยงท่ามกลางตำรวจนั่งล้อมรอบ
การปฏิรูปตำรวจได้พูดกันมานาน ตั้งแต่สมัยพลเอกสุรยุทธ์ จุฬานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี และมีการแต่งตั้งตำรวจน้ำดี พลเอก วสิษฐ์ เดชกุญชร เป็นประธานคณะกรรมการร่างแผนการปฏิรูปตำรวจ
ถึงวันนี้ วงการตำรวจยังเหมือนเดิม เช่น การซื้อตำแหน่ง การรับส่วยสารพัด การคุ้มครองธุรกิจสีเทา
หลักการของการปฏิรูปตำรวจควรมีหลักใหญ่ๅตามนี้
การกระจายอำนาจโดยการยุบสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เหลือกองปราบปรามหน่วยเดียวทำหน้าที่เหมือนเอฟบีไอของอเมริกา
ที่เหลือโอนให้เป็นตำรวจท้องถิ่นจัดการกันเอง ขึ้นต่อผู้ว่าฯที่มาจากการเลือกตั้ง และนายกเทศมนตรีเหมือนระบบตำรวจญี่ปุ่นและอเมริกา
ยกเลิกชั้นยศ ตั้งตำแหน่งตามอำนาจหน้าที่แทน
ตั้งคณะกรรมการตำรวจที่มาจากการเลือกตั้งที่มีองค์ประกอบหลายภาคส่วนในท้องถิ่น เป็นต้น
ตัวอย่างการปฏิรูปตำรวจไทย ศึกษาจากอเมริกาที่ไม่มีนายพล ไม่มีโครงสร้างแบบกองทัพ
ระบบตำรวจอเมริกัน : ระบบการกระจายอำนาจ

ระบบตำรวจอเมริกันมีชั้นยศน้อยมาก แต่แบ่งอำนาจความรับผิดชอบตามหน้าที่มากกว่า คล้ายๆกับพนักงานของบริษัท อเมริกาไม่มีระบบหรือโครงสร้างตำรวจแห่งชาติ แต่มีการแบ่งอำนาจและหน้าที่เป็นส่วนงานตามภูมิศาสตร์ 5 โดย มี 5 หน่วยงานหลักดังนี้
1. Federal
2. State
3. County Police , Sheriffs 4. Municipal
5. Other

1. Federal : ตำรวจส่วนกลาง ซึ่งขึ้นต่อกระทรวงยุติธรรม
The Federal Bureau of Investigation (FBI), หน่วยสืบสวนกลางหรือ เอฟบีไอ มีหน้าที่สืบสวน สอบสวนในทุกระดับทั่วประเทศ เป็นตำรวจส่วนกลางของชาติ ขึ้นต่ออธิบดีกรมอัยการ ( Attorney General ) และ ผู้อำนวยการหน่วยสืบราชการลับ(Director of National Intelligence) มีอำนาจครอบคลุมในการสืบสวนและจับในคดีกว่า 200 ประเภท เอฟบีไอ แม้ว่าบทบาทหน้าที่หลักมีขอบเขตออยู่ภายในประเทศ แต่ ก็มีตัวแทนทำงานเป็นสำนักเล็กๆในสถานทูต 60 แห่ง ทั่วโลก และในสถานกงศุลอีก 15 แห่ง เพื่อทำงานลับ

2. State ตำรวจของรัฐ มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ เช่น ตำรวจของรัฐ ( State police ) ตำรวจทางหลวง (Highway patrol) , กำลังพลของรัฐ ( State Troopers) . มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย การสืบสวน สอบสวน ในขอบเขตทั้งรัฐ โดยการลาดตระเวนบนทางหลวง และทางด่วน ซึ่งมีพื้นที่กว้างใหญ่และเชื่อมต่อระหว่างรัฐ ช่วยเหลือในด้านการสืบสวนสอบสวนแก่ตำรวจอำเภอและท้องถิ่นที่มีทัพยากรไม่พอ และมีขอบเขตงานแค่ในพื้นที่ของตน

3. County ตำรวจของอำเภอ มีชื่อเรียกว่า Sheriff มีหน้าที่และบทบาทดูแลและบังคับใช้กฎหมาย การสืบสวน สอบสวนในพื้นที่ห่างไกลในชนบทที่ยังไม่เป็นเมืองใหญ่ บางรัฐมีบทบาทร่วมกับตำรวจประจำเมือง บางรัฐทำหน้าที่เฉพาะอย่าง เช่น ลาดตระเวนบนทางหลวง นำหมายศาลไปส่งจำเลย ดูแลผู้พิพากษาและความปลอดภัยในศาล ควบคุมนักโทษมาขึ้นศาล ดูแลและลาดตระเวนเขตป่าสงวน อุทยานแห่งชาติ

4. Municipal ตำรวจของเมือง หรือตำรวจ(ประจำ) ท้องถิ่น มักจะมีชื่อตามเมือง เช่น NYPD ( New York Police Department) คือ ตำรวจเมืองนิวยอร์ก หรือ LAPD ( Los Angeles Police Department) คือ ตำรวจเมืองลอสแอนเจลิส ชื่อเหล่านี้มักปรากฏให้เห็นจนคุ้นตาในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด
งบประมาณจะมาจากภาษีของประชาชนในแต่ละเมืองหรือท้องถิ่น ตำรวจเป็นลูกจ้างหรือพนักงานขององค์กรปกครองท้องถิ่น

5. Other ตำรวจเฉพาะด้าน เช่น ตำรวจจราจร ( Transit police ) ตำรวจโรงเรียน- ( ( School district police ), ตำรวจมหาวิทยาลัย (Campus police) , ตำรวจสนามบิน ( Airport police) ตำรวจรถไฟ( Railroad police) , ตำรวจอุทยานแห่งชาติ ( Park police) เป็นต้น ตำรวจเหล่านี้ รวมทั้ง Sheriff อาจจะเป็นลูกจ้างของบริษัทรักษาความปลอภัยเอกชนที่หน่วยงานของรัฐจ้างมาทำหน้าที่นี้ ( ทหารอเมริกันที่ไปรบในประเทศอิรัคบางหน่วยก็เป็นลูกจ้างของบริษัทเหล่านี้ หรือคุกบางแห่งก็เช่นเดียวกัน

หน้าที่หลักๆของตำรวจมี 3 ด้าน คือ

1. รักษาความสงบสุขและดูแลความปลอดภัยของประชาชนและสังคม ป้องกันการก่อความไม่สงบต่อผู้อื่น เช่น เมื่อประชาชนมาเดินขบวนประท้วงรัฐบาล ตำรวจมีหน้าที่มาดูแลรักษาความสงบสุขและดูแลความปลอดภัยของประชาชน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงหรือเกิดความเสียหายต่อสาธารณสมบัติ เป็นต้น

2. การบังคับใช้กฎหมายที่ถูกละเมิด เช่น การปล้น การฆาตกรรม การขโมย การฝ่าฝืนกฎจราจร ฯลฯ ซึ่งผิดกฎหมาย

3. การให้บริการฉุกเฉิน
ชั้นยศและตำแหน่งของตำรวจอเมริกัน
ตำรวจอเมริกันไม่ได้มีชั้นยศหรือตำแหน่งแบบข้าราชการ แต่แบ่งตามหน้าที่และความรับผิดชอบ ตำแหน่งต่อไปนี้ใช้โดยทั่วไปในสำนักงาน กรม หรือ กอง ของตำรวจทั้งในระดับรัฐและระดับเมือง
ตำแหน่งสูงสุดของตำรวจซึ่งมีหลายชื่อที่เรียกกัน คือ Police Commissioner/Chief of Police/Superintendent: ถ้าแปลเป็นไทย คือ หัวหน้าตำรวจ มีหน้าที่ 4 ด้าน คือ

1. แต่งตั้งและเลื่อนตำแหน่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
2. ตรวจตราและติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
3. กำหนดนโยบายและออกระเบียบให้หน่วยงานตำรวจทั้งหมดนำไปปฏิบัติ
4. ทำรายงานผลการปฏิบัติงานเสนอผู้ว่าการรัฐหรือ นายกเทศมนตรีอย่างสม่ำเสมอ
Assistant Chief: ผู้ช่วยหัวหน้าตำรวจ
เป็นตำแหน่งอันดับสอง ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าสำนักงานตำรวจในระดับรัฐที่ดูแลหลายเมือง
Deputy Chief/Deputy Commissioner/ Deputy Superintendent: รองหัวหน้าตำรวจ
เป็นตำแหน่งอันดับสาม มีหน้าที่แล้วแต่จะได้รับการมอบหมายจากหัวหน้าตำรวจ

ตำแหน่งอื่นๆ
Inspector/Commander: นักสืบ
Colonel: พันเอก เป็นผู้บริหารระดับสูง
Major/Deputy Inspector: พันโท เป็นผู้กำกับสถานีตำรวจ
Captain: พันตรี เป็นผู้บังคับหน่วย
Lieutenant: ร้อยโท เป็นหัวหน้าดูแลนายจ่า หรือบางแผนกงานในสำนักงาน
Sergeant: นายจ่า เป็นผู้ดูแลและจัดเวลาทำงานให้ตำรวจออกไปปฏิบัติการ
Detective/Inspector: นักสืบนอกเครื่องแบบ ซึ่งมีอำนาจหลายๆด้านมากกว่าตำรวจประจำการ
Officer/Deputy: เป็นตำแหน่งระดับล่างที่สุดของตำรวจ มีหน้าที่ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมและรักษาความสงบในพื้นที่สาธารณะ

มีเสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติและยกเลิกระบบโครงสร้างตำรวจอย่างทั่วด้าน เพราะว่าตำรวจไทยยังติดยึดอยู่กับมายาคติเก่าที่ว่า
“ ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ที่ตำรวจไทยจะทำไม่ได้ “
แม้ว่าตำรวจที่ดีจะมีมาก แต่บทบาทของตำรวจเลวกับเด่นกว่าและทำให้ภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและตำรวจโดยรวม “เน่าไปทั้งข้อง”
ปัญหาหลักนั้นเกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างแบบกองทัพทหาร ที่ไม่มีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น การวมศูนย์อำนาจการบังคับบัญชามาอยู่ที่ส่วนกลาง ซึ่งนำไปสู่การรับผลประโยชน์ในหลายๆรูปแบบ จึงเกิดการซื้อขายตำแหน่งกันด้วยเงินก้อนมหาศาลในแต่ละตำแหน่ง

ดังนั้นการปรับโครงสร้างโดยการกระจายอำนาจ และตัดลดงานให้เหลือเฉพาะ 3 ด้านแบบระบบอเมริกัน คือ
1.การรักษาความสงบสุข
2.การบังคับใช้กฎหมาย ( มิใช่เป็นผู้ละเมิดเสียเอง) และ
3.การให้บริการฉุกเฉินเพียงเท่านี้ และยกเลิกยศตำแหน่งทั้งหมดให้เป็นตำแหน่งตามหน้าที่ของงานที่รับผิดชอบเหมือนภาคเอกชน
ในด้านการบริหารให้โอนไปขึ้นกับงบประมาณขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่นโดยมีการสรรหาคณะกรรมการตำรวจประจำจังหวัดมาเป็นผู้กำกับนโยบาย ให้ตำรวจทำหน้าที่ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎรที่แท้จริง” มิใช่ตรงกันข้ามอย่างทุกวันนี้

ต้องมีระบบประเมินผลงานเป็นประจำ ถ้าบกพร่องในหน้าที่ หรือละเมิดวินัย หรือทำความผิดอื่นก็ต้องปลดออกหรือไล่ออก ไม่ใช่ใช้ระบบย้ายไปก่อกรรมหรือทำความผิดในพื้นที่อื่น คนที่รับกรรมคือประชาชนในพื้นที่