‘ส่วยรถบรรทุก’ อาหารจานหลัก ตร.ผู้ใหญ่ ‘รถเสียหาย เจ็บตาย’ ‘ราคาสินค้า’ เป็นของประชาชน      

‘ส่วยรถบรรทุก’ อาหารจานหลัก ตร.ผู้ใหญ่ ‘รถเสียหาย เจ็บตาย’ ‘ราคาสินค้า’ เป็นของประชาชน      

ยุติธรรมวิวัฒน์

“ส่วยรถบรรทุก” อาหารจานหลัก ตร.ผู้ใหญ่ “รถเสียหาย เจ็บตาย” “ราคาสินค้า” เป็นของประชาชน      

                                                                                              

พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร

 

การเลือกตั้งใหญ่ที่เพิ่งผ่านพ้นไป แทบไม่มีข้อกังขาว่า พรรคก้าวไกล เป็นฝ่ายประสบชัยชนะครองใจประชาชนโดยเฉพาะคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ในเขตกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่ทั่วประเทศอย่างชัดเจน

อดีต ส.ส. ตัวเต็ง และ ตัวตึง ทั้งหญิงชายของ พรรคฝ่ายอนุรักษนิยม สอบตกกันเป็นแถวอย่างชนิดที่ตัวเองก็คาดไม่ถึง

ทั้งที่ส่วนใหญ่ก็ได้ทุ่มทุนรวมทั้งแรงกายใจไปงานแต่ง งานศพและงานบวช เดินหาเสียงมากมายไม่ต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา

ทำให้ทุกคนได้ตระหนักว่า สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง มาถึงแล้ว

ซ้ำ เร็วกว่าที่คิดไว้มาก!

นักการเมืองคนที่เข้าใจ ก็ยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี ไม่มีการโวยวายว่าถูกโกงหรือ แพ้งานไอโอ อะไร และหันไปประกอบอาชีพอื่น ไม่ดันทุรังคิดต่อสู้ในการเลือกตั้งหวังล้างตาในแนวทางเดิมอีกครั้ง

ต้องยอมรับว่า ประชาชนเลือก ส.ส.และพรรค จากการพิจารณา ปรัชญา หลักคิดและ  “นโยบายการปฏิรูป” เป็นสำคัญ

ไม่ใช่โครงการลดแลกแจกแถมสารพัดโดยไม่พูดเรื่องการปฏิรูปกันแบบเดิมอีกต่อไป

ผู้คนยิ่งถูกใจเมื่อเห็นความเคลื่อนไหวของ หัวหน้าพรรคและ ส.ส.แกนนำ คือคุณวิโรจน์  ลักขณาอดิศร แสดงความพยายามในการจัดการปัญหา ส่วยแห่งชาติ!

โดยเริ่มจาก ส่วยรถบรรทุก

เป็นความทุกข์ใจของคนไทยโดยเฉพาะ ผู้ประกอบการขนส่ง ส่วนใหญ่มานานหลายสิบปี!

โดยไม่เคยมีความหวังว่า นายกรัฐมนตรีคนไหน หรือรัฐบาลชุดใด จะคิดแก้ไขอย่างจริงจังแต่อย่างใด

ทำให้ ขบวนการส่วย ทุกธุรกิจใต้ดินในประเทศไทยเติบใหญ่จนกลายเป็น แก๊งอั้งยี่มีเครื่องแบบ ขยายไปหลายวงการ ตั้งแต่สถานบริการยันบ่อนพนัน โดยเฉพาะในระบบคมนาคมและขนส่ง

มีสมาชิกเดินสายขายสติกเกอร์ สัญลักษณ์ของการจ่าย ป้องกันความสับสนวุ่นวายว่ารถบรรทุกคันใด จ่ายแล้วหรือไม่!

 ติด สติกเกอร์ส่วย เปลี่ยนสัญลักษณ์เป็นรายเดือน โดยเฉพาะถ้าลงทุนซื้อ แบบพรีเมียม แล้ว วิ่งผ่านทุกท้องที่และทุกด่านทั่วไทย! 

จะบรรทุกหนักเท่าไหร่ ทำดินหินวัสดุตกหล่น วิ่งช่องขวาสะดวกสบายอย่างไร ติดแผ่นป้ายทะเบียนหรือไม่ จะติดไฟตกแต่งรถบ้าๆ บอๆ กันอย่างไรก็ได้

ตำรวจทุกหน่วย ไม่ว่าเฉพาะกิจเฉพาะเก็บและทุกท้องที่ไม่มีการจับ!

หรือให้คำมั่นว่า รับเคลียร์คดี ให้ ในกรณีที่ถูกหน่วยอื่น เช่นกรมทางหลวงจับกุม

ขบวนการส่วยสติกเกอร์ทำอย่างเป็นล่ำเป็นสันกันมาตั้งแต่ ปี 2539

หลังที่กรมตำรวจได้แยกออกจากกระทรวงมหาดไทยในปี 2541 ไม่สังกัดกระทรวงใด เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”

กลายเป็นอำนาจรัฐที่ปราศจากการตรวจสอบควบคุมจากองค์กรใดอย่างสิ้นเชิง!

ขบวนการส่วยจึง สร้างความร่ำรวยให้ ตร.ผู้ใหญ่ และขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ จนครอบคลุมไปแทบทุกพื้นที่ทั่วไทย

มูลค่าของเงินส่วยเฉพาะรถบรรทุกในแต่ละเดือน แต่ละปี ที่ตำรวจผู้ใหญ่เก็บกอบไปจากถนนหนทางทุกสายในประเทศไทย

มีจำนวนมากมาย ปีละหลายหมื่นล้าน!

และรัฐบาลต้องใช้เงินงบประมาณมหาศาลในการซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเดิม หรือ แค่ให้พอใช้ได้

เป็นสาเหตุทำให้ถนนหนทางแทบทุกสายอยู่ในสภาพอันตราย และก่อให้เกิดอุบัติเหตุประชาชนล้มตายปีละกว่า 15,000 คน  

บาดเจ็บทั้งพิการสาหัสและไม่สาหัสอีกมากมาย เหลือคณานับ!

นี่ยังไม่นับความเสียหายของรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประชาชนที่ต้องแล่นบนถนนชำรุดเสียหายอีกหลายสิบล้านคัน ทำให้อายุการใช้งานของรถสั้นลงอย่างมาก

พรรคก้าวไกลจะได้เป็นรัฐบาลโดยสามารถฝ่า “ด่านนรก ส.ว.” ที่ ไม่ง้อประชาชน ได้หรือไม่             เป็นเรื่องที่ผู้คนก็ต้องเฝ้าติดตามกันต่อไป?

แต่ขณะนี้แม้ยังไม่ได้เป็น เราก็เห็นความตั้งใจของพวกเขาในการปัญหาอย่างจริงจังในระดับหนึ่ง

ซึ่งจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ก็อยู่ที่ความตั้งใจและความเข้าใจของ คุณพิธา ถ้าหากได้เป็นนายกรัฐมนตรีผู้มีอำนาจควบคุมผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและหน่วยตำรวจทั่วประเทศ แต่เพียงผู้เดียว

ตาม โครงสร้างองค์กรตำรวจในระบบปิดที่วิปริต!

เฉพาะปัญหา ส่วยรถบรรทุก นี้ ถือว่าได้มี สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เป็นพลเมืองดี มีการกล่าวหาว่ามีการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้นอย่างเป็นขบวนการ

ทั้งๆ ที่เป็นงานของตำรวจแห่งชาติและทุกหน่วยจะต้องสืบสอบป้องกันตามหน้าที่

และ “สอบสวนดำเนินคดี” ตาม ป.วิ อาญา โดยมิชักช้า เมื่อได้ทราบว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้น

ไม่ใช่ “ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง” ซึ่งไม่มีอยู่ใน ป.วิ อาญา แต่อย่างใด! 

จึงไม่น่าแปลกใจที่สหพันธ์การขนส่งทางบกฯ ไม่คิดส่งหลักฐานที่รวบรวมได้ให้ตำรวจไม่ว่าบุคคลระดับใดหรือหน่วยงานไหน แม้แต่ ป.ป.ช.

กลับไปส่งให้ คุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับเจ็ดของพรรคก้าวไกล ซึ่งไม่รู้ว่าสุดท้ายจะมีอำนาจได้เป็นรัฐมนตรีรับผิดชอบกระทรวงใด หรือต้องกลายเป็นฝ่ายค้านหรือไม่?

เพราะพวกเขารู้ดีว่า ตำรวจและหน่วยงานรัฐทุกหน่วย พึ่งไม่ได้

ซ้ำไม่รู้ว่า ในแต่ละหน่วยที่สร้างสำนักงานกันอย่างใหญ่โตหรูหรา มีใครเป็น อาชญากร สมาชิกแก๊ง อั้งยี่มีเครื่องแบบ นั้นบ้าง!.

ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ  :   ฉบับวันที่ 5 มิ.ย. 2566