ตำรวจ ‘ลาออก’ เพราะสูญสิ้นศรัทธา กับผู้บังคับบัญชา ‘ปัญญาอ่อนอำมหิต’

ตำรวจ ‘ลาออก’ เพราะสูญสิ้นศรัทธา กับผู้บังคับบัญชา ‘ปัญญาอ่อนอำมหิต’

ยุติธรรมวิวัฒน์

ตำรวจ “ลาออก” เพราะสูญสิ้นศรัทธา กับผู้บังคับบัญชา “ปัญญาอ่อนอำมหิต”

 

                 พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร

 

ระยะนี้มีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับตำรวจไทยเกิดขึ้นเป็นรายวัน ทำให้ประชาชนมีประเด็นปัญหาให้ต้องขบคิดและ “ฝึกสมองประลองปัญญา” กันตลอดเวลา!

นอกจากเรื่อง จีนเทา แก๊งตู้ห่าว จะประกาศกร้าวว่า “อยู่เมืองไทยมีเงินจะทำอะไรก็ได้”

เพราะมั่นใจว่ามี นายพล ตร.ผู้ใหญ่ เคยไปเข้าแถวยืนถ่ายรูปรับรองและคุ้มครองให้เมื่อหลายปีก่อนแล้ว

ก็มีเรื่อง พลตำรวจตรีเจ้ามือเว็บพนันรายใหญ่ ในจังหวัดชลบุรีที่ส่งคนไปกระทืบแอดมินเพจผู้ทำรายได้ไม่เข้าเป้าจนปางตาย ซ้ำยังหมายหัวขู่ฆ่าทั้งครอบครัว!

ตามมาด้วย นายซัว และ นายพลตำรวจ จ. ที่คุณชูวิทย์ออกมาให้ข้อมูลต่อสังคมว่า แท้จริงคือหัวหน้าใหญ่แก๊งพนันออนไลน์ประเทศไทย

จึงทำให้ เว็บอบายมุขสารพัด เกลื่อนหน้าจอโทรศัพท์มือถือและเครื่องคอมพิวเตอร์

แต่งเครื่องแบบเรียกตัวเองกันซะโก้ว่า ตำรวจไซเบอร์ มีหน้าที่ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์

แต่แท้จริงเป็น ผู้ร้ายรายสำคัญที่สังคมต้องการตัว!

ประชาชนก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า นายกรัฐมนตรีจะมีความสามารถในการจัดการกับ นายพลตำรวจ จ.และอีก สารพัดนายพล คนที่นั่ง รับส่วย จากผู้กระทำผิดกฎหมายจนร่ำรวยกันมากมายในปัจจุบันหรือไม่?

การที่สังคมจ้างให้ประชาชนมีตำแหน่งตำรวจทำหน้าที่อะไร ก็ด้วย ไว้วางใจ ว่าจะสามารถ ปฏิบัติหน้าที่รักษากฎหมายได้ด้วยความสุจริตและมีประสิทธิภาพ

เมื่อไม่ได้ทำหน้าที่หรือมีปัญหา ประชาชนก็ต้อง “เลิกจ้าง” ได้ ไม่ให้อยู่ในตำแหน่งต่อไป ไม่จ่ายเงินเดือนให้โดยไม่ทำหน้าที่หรือทำไม่ดีเท่าที่ต้องการต่อไป

รัฐไม่จำเป็นต้อง ตั้งกรรมการสืบสอบ หาพยานหลักฐานการกระทำผิดอาญาและวินัยอะไรให้เสียเวลา

แล้วสุดท้าย ร้อยละ 99 สรุปว่า ไม่พบหลักฐานการรับส่วยสินบน แต่อย่างใด

อีกเรื่องที่สำคัญก็คือ ตร.ผู้ใหญ่ได้ใช้เล่ห์อุบาย “หลอกนายกฯ”

ขอให้ เลื่อนการใช้ พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานฯ 4 มาตรา ซึ่งได้ประกาศราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2565 จะมีผลเมื่อครบ 120 วัน คือ 23 ก.พ.2566

อ้างว่าตำรวจไม่พร้อมทั้งอุปกรณ์และความรู้ ต้องจัดซื้อกล้องประจำตัวจำนวน 170,000 ชุด ใช้เงินกว่า 3,500 ล้านบาท และพัฒนาความรู้

ทำให้ นายกฯ ผู้ไม่ทันได้ดูตาม้าตาเรือ ว่าจริงหรือไม่? ตำรวจจะซื้อกล้องจำนวนมากมายไปติดตัวทุกระดับกันเกือบสองแสนคนทำไม?

แค่ซื้อเป็นกล้องประจำหน่วย ผู้มีหน้าที่ตรวจตราจับกุมหมุนเวียนกันเบิกใช้ เพิ่มจากที่มีอยู่แล้วอีกแค่ 20,000–30,000 ชุด ใช้เงินไม่เกินร้อยล้านบาทเท่านั้น   

เมื่อนายกฯ หลงเชื่อ จึงทำให้ตัดสินใจออกพระราชกำหนดเลื่อนการใช้ 4 มาตราสำคัญตามที่เสนอ นั้นออกไปถึงวันที่ 1 ต.ค.2566

ถือ เป็นเรื่องโกหกหลอกนายกฯ และมิชอบด้วยกฎหมาย สร้างความเสียหายต่อรัฐธรรมนูญและหลักการของบ้านเมืองอย่างยิ่ง

และแท้จริงกฎหมายนี้ที่สำคัญ ซึ่ง ตร.ผู้ใหญ่ชั้นนายพลทั้งในและนอกราชการไม่ต้องการคือ มาตรา 22 วรรคสอง

 “การควบคุมบุคคลทุกกรณีให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบแจ้งให้พนักงานอัยการและนายอำเภอในท้องที่ที่มีการควบคุมตัวโดยทันที หากเป็นในกรุงเทพมหานคร ให้แจ้งพนักงานอัยการและผู้อำนวยการสำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง…………..”

รวมทั้งมาตรา 23 การบันทึกข้อมูลผู้ถูกควบคุมตัวให้ฝ่ายปกครองและอัยการสามารถตรวจสอบได้

ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญที่สุดในการป้องกันมิให้ประชาชนผู้ถูกควบคุมตัวถูกทำร้าย รวมทั้งเปิดโอกาสให้ต่อรอง “เรียกค่าไถ่” แล้วปล่อยตัวไป ซึ่งเกิดขึ้นมากมายในสังคมไทยปัจจุบัน

อีกเรื่องหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเมื่อสองสามวันนี้ คือกรณีตำรวจยศ ส.ต.อ.จังหวัดสุพรรณบุรี ได้มีหนังสือขอลาออก

บอกเหตุผลว่า “เพราะสูญสิ้นศรัทธาในระบบตำรวจ ปกป้องผู้กระทำผิด และตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตไม่ได้รับการเหลียวแล”!

กลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว

ต่อมามีผู้บังคับบัญชาออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ยังไม่ได้อนุมัติให้ลาออก อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีปัญหากับเพื่อนร่วมงานหรือหนี้สินอะไรหรือไม่?

การไม่อนุมัติให้ ส.ต.อ.ชัยพัฒน์ บุญทิม ตร.สภ.เมืองสุพรรณบุรีลาออก จึงส่งผลทำให้เขาต้องมาปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายเช่นเดิม

หากไม่มาก็จะถือว่า ขาดราชการ มีความผิดทางวินัย และอาจถูกสั่ง ไล่ออก หากขาดติดต่อกันเกินกว่า 15 วัน

ตำรวจแห่งชาตินั้นเป็นองค์กรที่แสนประหลาด ข้าราชการตำรวจทำหนังสือขอลาออกบอกเหตุผลว่า

“เพราะสูญสิ้นศรัทธาในระบบตำรวจ ปกป้องผู้กระทำผิด และตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตไม่ได้รับการคุ้มครอง”

ให้เหตุผลชัดขนาดนั้น แต่ผู้บังคับบัญชาก็ยังต้อง ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง

เพื่อให้ได้ผลเป็นอย่างอื่น!

นี่ถ้า ส.ต.อ.ชัยพัฒน์ยืนยันว่า ปัญหาที่แท้จริงเป็นไปตามหนังสือที่ขอลาออก ไม่ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือพูดจาหว่านล้อมอะไรให้เสียเวลา

ผู้บังคับบัญชาทุกระดับจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

แต่หากสามารถเกลี้ยกล่อมให้เขียนหนังสือลาออกอ้างเหตุผลใหม่

ส.ต.อ.ชัยพัฒน์ก็จะกลายเป็น คนกะล่อน หรือ คนสติไม่ดี ไปทันที!

นี่เป็น วิธีปัญญาอ่อนและอำมหิต ที่หัวหน้าหน่วยตำรวจทุกระดับชอบใช้ เมื่อได้รับหนังสือลาออกจากตำรวจ ผู้ให้เหตุผลอย่างตรงไปตรงมาทุกคน.

ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์  คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ: ฉบับวันที่ 20 ก.พ. 2566