หัวหน้าพนักงานสอบสวน ‘จำนนต่อพยานหลักฐาน’ สะท้อน ‘กระบวนการยุติธรรมวิปริต’

หัวหน้าพนักงานสอบสวน ‘จำนนต่อพยานหลักฐาน’ สะท้อน ‘กระบวนการยุติธรรมวิปริต’

ยุติธรรมวิวัฒน์

หัวหน้าพนักงานสอบสวน ‘จำนนต่อพยานหลักฐาน’ สะท้อน ‘กระบวนการยุติธรรมวิปริต’

 

                                                                        พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร

 

กรณี อัน หยูชิง ดาราสาวไต้หวัน โพสต์ฟ้องชาวโลกว่า เธอถูกตำรวจไทย ตั้งด่านรีดไถ เพราะ ไม่พกหนังสือเดินทางตัวจริง ขณะท่องเที่ยวในเมืองไทย

ต้องจ่าย เงินค่าไถ่ ตัวเธอกับเพื่อนไปรวม 27,000 บาท หลังถูกเรียกให้ลงจากรถมาเจรจากันนานกว่า 47 นาที

ทันทีที่มีข่าวนี้ ตำรวจผู้ใหญ่ทั้งในองค์กรแห่งชาติและกรุงเทพมหานครต่างก็ดาหน้ากันออกมา ปฏิเสธคอเป็นเอ็น ว่าไม่ได้มีเรื่องราวหรือปัญหาตามที่ดาราสาวโพสต์เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด ทั้งที่ยังไม่ได้สอบปากคำหรือแม้แต่ถามเธอซึ่งเป็น ผู้เสียหาย และ ประจักษ์พยาน อะไรเลยแม้แต่คำเดียว!

นับเป็นวิธีปฏิบัติงาน ในฐานะเจ้าพนักงานยุติธรรม ทิ่ วิปริต เป็นอันตรายต่อประชาชนและสังคมอย่างยิ่ง!

ยัง ไม่ได้ฟังแม้แต่คำพูดของผู้เสียหาย ตำรวจผู้ใหญ่ก็สรุปผลการสอบสวนแล้วว่า ไม่มีการกระทำผิดเกิดขึ้นตามที่เธอฟ้องชาวโลกแต่อย่างใด!

ซ้ำชั่วร้ายถึงขนาดพยายามทำให้เธอเป็น ผู้ร้าย เป็นคนพูดจาเชื่อถือไม่ได้ อาจต้องการสร้างยอดไลก์ยอดแชร์

ตำรวจผู้ใหญ่ให้ข่าวว่า ตอนที่มาถึงด่านตรวจ ทุกคนอยู่ในสภาพเมามาย พูดจาไม่รู้เรื่อง

โดยมีคนขับแท็กซี่แกร็บเป็นพยานหลังจากขึ้นไปพบพูดคุยกับตำรวจอยู่นานนับชั่วโมง และลงมาให้สัมภาษณ์ สื่อสายตำรวจ คนหนึ่งซึ่งจ่อไมค์ตั้งคำถามว่า ได้กลิ่นเหล้าหรือไม่  เมามากไหม?

คนขับแท็กซี่ก็ตอบทันทีว่า “ดาราสาวเมาและส่งเสียงดังเอะอะโวยวายมากที่สุด”

เป็นจุดเริ่มต้นของ ขบวนการสอบสวนทำลายพยานหลักฐาน!

ตามมาด้วยการ จับผิด คำพูดเธอสารพัด

ตั้งแต่แท้จริงไม่ใช่ดาราดังอะไร และมีพฤติการณ์สูบบุหรี่ไฟฟ้าเดินไปเดินตามที่ต่างๆ โดย ปล่อยภาพส่วนตัวของเธอเหล่านั้นผ่าน “สื่ออ่อนโลก” ทุกช่องทาง

คำพยานว่าเธอเมาและภาพถือบุหรี่ไฟฟ้าเดินไปเดินมา  ล้วนแต่เป็นพฤติกรรมทำลายความน่าเชื่อถือโดย ใช้สื่อเป็นเครื่องมือ

ตำรวจผู้ใหญ่หวังให้คำพูดของเธอที่บอกว่า ถูกตำรวจที่ตั้งด่านรีดไถ และต้องจ่ายเงินไป 27,000 ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้

พร้อมทั้ง หัวหน้าพนักงานสอบสวน ยังท้าให้คนไทยไม่ว่าจะเป็นใครนำพยานหลักฐานมายืนยัน

พลันที่ได้ยิน เธอก็รู้สึกโกรธและโพสต์รัวๆ ว่า ตำรวจไทยควรหยุดพูดในเรื่องไร้สาระเหล่านี้เสียที!

โชคดีที่ คุณชูวิทย์ สามารถติดต่อเพื่อนชายเธอซึ่งเป็นชาวสิงคโปร์คนหนึ่งซึ่งนั่งมาด้วยกันในรถแท็กซี่รวมสี่คนได้

และให้พูดโทรศัพท์มือถือผ่านสื่อกันสดๆ ได้ความว่า เป็นคนจ่ายเงิน 27,000 บาท ให้ตำรวจนอกเครื่องแบบที่อยู่บริเวณด่านตรวจคนหนึ่งไป

เป็นเหตุทำให้มีการแจ้งข้อหาความผิดอาญามาตรา 149 ต่อตำรวจผู้ร่วมกระทำความผิดทั้งหกคน

คดีนี้มีโทษสูงถึงประหารชีวิต!

เป็นการ จำใจดำเนินคดี เพราะมีพยานหลักฐานที่ ประชาชนขวนขวายหามาให้ และคนไทยทั้งประเทศรวมทั้งชาวโลกได้รับรู้พร้อมกัน

ตำรวจผู้ใหญ่จะ ตะแบง หรือ แถไถ กันแบบ คนหน้าด้าน เพื่อปกป้องแก๊งตำรวจผู้ตั้งด่านรีดไถมิให้ถูกดำเนินคดีอาญาข้อหาฉกรรจ์ รวมทั้ง ป้องกันตัวเอง ในฐานะ ผู้สั่งตั้งด่านตรวจค้นประชาชนอย่างผิดกฎหมาย โดย นั่งรับส่วย กันจนร่ำรวยมาอย่างยาวนานต่อไปอีกไม่ได้

ถือเป็นคดีที่ หัวหน้าพนักงานสอบสวนจำนนต่อพยานหลักฐาน!

เป็นการสะท้อนภาพ กระบวนการยุติธรรมอาญาที่สุดวิปริต

ตำรวจไทยพยายาม สอบสวนแบบจับผิด

หวังทำให้ ผู้เสียหาย กลายเป็น ผู้ต้องหา เป็นคนพูดจาเชื่อถือไม่ได้ เป็นหญิงสาวดื่มเหล้าเมามายและสูบบุหรี่ไฟฟ้า

เรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ถ้าการมีไว้ในความครอบครองเป็นเรื่องชั่วร้ายและผิดกฎหมาย

ก็ต้องสืบสอบจับ “นายพลตำรวจสองคน” ตามภาพนี้ดำเนินคดีอาญาและลงโทษทางวินัยด้วยเช่นกัน.

ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ:  ฉบับวันที่ 6 ก.พ. 2566