‘มือปราบอับดุล’กับ ‘ข้อเท็จ ๘ ประการ’ ในคดี ‘ลุงพล’    

‘มือปราบอับดุล’กับ ‘ข้อเท็จ ๘ ประการ’ ในคดี ‘ลุงพล’    

ยุติธรรมวิวัฒน์

“มือปราบอับดุล” กับ “ ข้อเท็จ ๘ ประการ” ในคดี “ลุงพล”    

 

                                                                                                  พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร

 

ความตายของน้องชมพู่ซึ่งถือเป็นการตายโดยผิดธรรมชาติตามกฎหมายซึ่งจะต้องมีการชันสูตรพลิกศพตามที่บัญญัติไว้นั้น   มีปัญหาที่ผู้รู้และรักความยุติธรรมหลายคนข้องใจสงสัยว่า   การชัณสูตรพลิกศพที่ได้กระทำกันไปนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่อย่างไร?

การตายผิดธรรมชาติมีอยู่ห้ากรณีตามที่ ป.วิ อาญา มาตรา ๑๔๘ บัญญัติ คือ ๑. ฆ่าตัวตาย  ๒. ถูกผู้อื่นทำให้ตาย  ๓. ถูกสัตว์ทำร้ายตาย  ๔. ตายโดยอุบัติเหตุ  และ ๕. ตายโดยยังมิปรากฏเหตุ

ความตายของบุคคลทั้งห้ากรณีที่มิได้ให้อำนาจเจ้าพนักงานอื่นเป็นการเฉพาะไว้   ผู้มีหน้าที่ในการชันสูตรพลิกศพก็คือ  พนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่และแพทย์นิติเวชตามที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๕๐  ซึ่งกฎหมายเรียกบุคคลทั้งสองว่า  “ผู้ชันสูตรพลิกศพ”

การชันสูตรพลิกศพคือการกระทำต่างๆ ของผู้มีอำนาจและหน้าที่ชันสูตรพลิกศพที่เสมือนเป็นการสอบสวนของพนักงานสอบสวนตามมาตรา ๑๕๕  แต่มีความมุ่งหมายต่อการกระทำคนละอย่างกัน กล่าวคือ

การสอบสวนเป็นการค้นหาข้อเท็จจริงในความผิดอาญา 

ส่วนการชันสูตรพลิกศพ  คือ การค้นหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความตายตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในมาตรา ๑๔๘  โดยความจริงที่ต้องค้นหาก็คือ  เหตุที่ตาย  พฤติการณ์ที่ตาย  ผู้ตายคือใคร  ตายที่ไหน  และเมื่อใด  ซึ่งผู้ชันสูตรพลิกศพทั้งพนักงานสอบสวนและแพทย์ต้องทำความเห็นให้ปรากฎเป็นหลักฐานตามมาตรา ๑๕๔

“เหตุที่ตาย” คือ  เหตุที่ทำให้ระบบอวัยวะสำคัญ ในร่างกายหยุดทำงาน เช่นปอดไม่ทำงานเนื่องจากขาดอากาศ   หัวใจไม่ทำงานเนื่องจากขาดเลือดที่เรียกว่าหัวใจล้มเหลว  หรือสมองไม่ทำงานเนื่องจากถูกทำลาย เป็นต้น

“พฤติการณ์ที่ตาย”  คือ ข้อเท็จจริงที่เป็นการกระทำจากภายนอกว่า  มีสิ่งใดมากระทำต่อร่างกายของผู้ตายหรือไม่และเกิดจากสิ่งใด  เช่นการกระทำตนเอง ถูกผู้อื่นกระทำ ถูกสัตว์ทำร้าย หรือเกิดจากอุบัติเหตุ  เช่น การพลัดตกจากที่สูงเอง  ถูกฟ้าผ่าหรือถูกคลื่นซัด ฯลฯ

กล่าวโดยสรุปได้ว่า  พฤติการณ์ที่ตายหมายถึง  ข้อเท็จจริงที่สอดคล้องหรือเข้ากันได้กับการตายโดยผิดธรรมชาติกรณีหนึ่งกรณีใดใน ๕ กรณี

“เหตุ” และ “พฤติการณ์ที่ตาย” นั้นเรียกรวมกันว่า “เหตุของการตาย” บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๕๑

เหตุที่ตายและพฤติการณ์ที่ตายดังกล่าว  หากผู้ชันสูตรพลิกศพไม่ทราบหรือพบได้จากการตรวจสภาพศพภายนอก  ก็มีอำนาจส่งศพไปยังแพทย์ซึ่งเป็นพนักงานแยกธาตุของรัฐให้ทำการผ่าเพื่อหาให้พบเหตุแห่งการตายที่แน่ชัดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๕๑

หลังจากที่แพทย์หรือพนักงานแยกธาตุผ่าศพแล้ว  ก็มีหน้าที่ต้องทำรายงานและความเห็นแสดงถึง  “พฤติการณ์ที่ตาย” และ “เหตุที่ตาย”  เป็นหลักฐานไว้ตามมาตรา ๑๕๒ (๑) และ (๒)

ในกรณีของน้องชมพู่นั้น  ผู้ชันสูตรพลิกศพไม่อาจทำความเห็นเกี่ยวกับเหตุและพฤติการณ์ที่ตายได้  เนื่องจากสภาพศพภายนอกไม่ปรากฏร่องรอยหรือบาดแผลที่จะทำให้สามารถให้ความเห็นได้ว่าเกิดจากการถูกผู้อื่นทำให้ตายหรือเหตุใด

ผู้ชันสูตรพลิกศพจึงได้ส่งศพไปยังโรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ประสงค์  จว.อุบลราชธานีเพื่อให้แพทย์นิติเวชเป็นผู้ผ่าศพแยกธาตุเพื่อหา  “เหตุของการตาย” ที่แน่ชัด  อันเป็นวิธีการค้นหาความจริงเกี่ยวกับความตายตามมาตรา  ๑๕๑

เพื่อจะได้ไม่มีใครใช้อำนาจ “สั่ง” หรือ “มั่วนิ่มมะโน” กันว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้!

ซึ่งหลังจากแพทย์หัวหน้านิติเวชโรงพยาบาลศูนย์จังหวัดอุบลราชธานีได้ดำเนินการผ่าศพและแยกธาตุแล้ว   ก็ได้ทำรายงานถึงสภาพศพตามที่พบเห็นและปรากฎจากการตรวจ

สำหรับในส่วน  “พฤติการณ์ที่ตาย”  ก็ได้มีความเห็นสรุปได้ว่า ไม่น่าจะเกิดจากการถูกผู้อื่นทำให้ตาย  ซึ่งมีผลเสมือนเป็นการตายโดยอุบัติเหตุด้วยการขาดน้ำเป็นเวลานาน

ถือเป็นรายงานว่า  ความตายที่มิได้เกิดจากการกระทำผิดทางอาญาของผู้ใด

แต่ตำรวจทั้ง “ชั้นเด็ก” และ  “ชั้นผู้ใหญ่” ต่างพร้อมใจกันไม่เห็นด้วยกับรายงานของแพทย์ผู้เป็นพนักงานแยกธาตุของรัฐที่มีอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมาย

กลับเชื่อกันว่า  ความตายของน้องชมพู่นั้นเกิดจากการที่มีผู้ทำให้ตายอันเป็นความผิดทางอาญา   โดยได้มีการแถลงข่าวเมื่อวันที่ ๒ ต.ค. ๖๓  โดยยกข้อเท็จจริง ๘ ประการ  ซึ่งอ้างว่าเป็นเหตุผลที่ทำให้เชื่อและคิดเห็นว่าเป็นเช่นนั้น

ซึ่งแทบทั้งหมดเป็นข้อมูลที่ได้มาจากการถามปากคำบุคคลต่างๆ ในหมู่บ้านจำนวนมากรวมทั้งผู้ที่เชื่อกันว่าเป็นนักวิชาการผู้มีความรู้และความเชี่ยวชาญเรื่องเด็กหลายคน?

โดยนำเอาพัฒนาการและความสามารถของเด็กในสภาวะปกติมาอนุมานว่าเป็นข้อเท็จจริง  ซึ่งถือเป็นข้อสันนิษฐานจากข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับการตายของน้องชมพู่และไม่ใช่ข้อเท็จจริงแต่อย่างใด

 การสันนิษฐานหรือความเชื่อว่าน้องชมพู่ถูกผู้อื่นทำให้ตายนั้นจึงไม่ชอบด้วยเหตุผลและขัดต่อกฎหมายอันว่าด้วยพยานหลักฐานคือ “รายงานการผ่าตรวจพิสูจน์ศพและแยกธาตุ” อย่างชัดแจ้ง

และในทางกลับกัน  ถ้าสรุปกันโดยความเชื่อเช่นนั้น  หากจะมีผู้สันนิษฐานจากสภาวะที่ไม่เป็นปกติของน้องชมพู่ที่เชื่อว่าน้องอาจเดินตามสุนัขจนพลัดหลงขึ้นไป  แล้วดิ้นรนกระเสือกกระสนปีนป่าย  ตะเกียกตะกายไปจนถึงยอดภูหินเหล็กไฟก็ย่อมเป็นไปได้ไม่แตกต่างกัน

ฉะนั้น เมื่อกฎหมายได้บัญญัติไว้ถึงวิธีที่ให้ได้มาซึ่งเหตุและพฤติการณ์ที่ตายของบุคคลไว้ห้ากรณีดังกล่าวเป็นการเฉพาะไว้แล้ว

ผู้มีหน้าที่ชันสูตรพลิกศพคือ “”พนักงานสอบสวนและแพทย์” จึงจำต้องถือเอาความเห็นของแพทย์ผู้ผ่าศพและแยกธาตุเป็นสำคัญ

การอ้างข้อเท็จจริง ๘ ประการที่ “มโนกันขึ้นมา” โดย “มือปราบอับดุล” หรือที่เรียกกันว่า “พนักงานสอบสวนผู้ไม่รับผิดชอบ” 

เป็นเหตุทำให้เชื่อว่าน้องชมพู่ถูกผู้อื่นทำให้ตาย  และได้มีดำเนินคดีจนนำไปสู่การจับกุมคุมขัง “ลุงพล”   จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด!

มือปราบอับดุล

ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์  คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ:  ฉบับวันที่ 9 ส.ค. 2564