ประธานศาลฎีกาถกผู้พิพากษาได้ข้อยุติผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจห้ามคนออกนอกบ้านโดยไม่ใส่หน้ากากอนามัย ศาลใช้ดุลยพินิจกำหนดโทษเป็นรายคดีได้

ประธานศาลฎีกาถกผู้พิพากษาได้ข้อยุติผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจห้ามคนออกนอกบ้านโดยไม่ใส่หน้ากากอนามัย ศาลใช้ดุลยพินิจกำหนดโทษเป็นรายคดีได้

เมื่อวันที่ 17เม.ย.2563  นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานศาลฎีกา ได้เรียกประชุมหารือข้อราชการทางไกลผ่านจอภาพกับอธิบดีผู้พิพากษาภาค และอธิบดีผู้พิพากษาศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาความผิด ในคดีฝ่าฝืนคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 (กรณีหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากป้องกัน) เพื่อพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายต่างๆ ได้ข้อสรุปว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจในการออกคำสั่งห้ามบุคคลออกจากเคหสถาน โดยไม่สวมหน้ากากอนามัย และพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการกำหนดโทษ เพื่อประกอบการพิจารณาและใช้ดุลพินิจแก่ศาลทั่วประเทศ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีความเห็นว่า ในการใช้ดุลพินิจของศาล พึงต้องใช้ดุลพินิจเป็นรายคดี โดยคำนึงถึงสภาพแห่งข้อหาและการกระทำความผิด ตลอดจนโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมของจำเลย ควบคู่ไปกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรน่า 2019

 

สำหรับการประชุมหารือข้อราชการทางไกลดังกล่าว ผู้ที่เข้าร่วมประชุมจะเป็นอธิบดีผู้พิพากษาในส่วนคดีอาญาทั้งหมด ทั้งอธิบดีศาลอาญา ศาลแขวงในพื้นที่ต่างๆ (ไม่รวมศาลแพ่ง) โดยการประชุมดังกล่าวเกิดจากกรณีเมื่อวันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมา ปรากฏทางสื่อมวลชนมีการนำเสนอข่าวศาลจังหวัดสมุทรสาคร ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ ม.34(6) กรณีไม่สวมหน้ากากเมื่อออกมาในที่สาธารณะ  ตามประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัด

 

แต่ขณะเดียวกันศาลจังหวัดกันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ เห็นว่า การไม่สวมหน้ากากไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ ม.34(6) โดยเห็นว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดไม่มีอำนาจสั่งให้ประชาชนสวมหน้ากากเมื่อออกจากบ้าน ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้น 2 ศาลตัดสินข้อกฎหมายไม่เหมือนกัน