วงการสีกากีเดือดระอุ! ‘โจ๊ก’ให้ถ้อยคำป.ป.ช.คดีทุจริต’ไบโอแมทริกซ์-รถตรวจการไฟฟ้า’ลั่นใครฉ้อราษฎร์บังหลวงมีอันเป็นไปปัดจัดฉากชิงเก้าอี้ผบ.ตร.

วงการสีกากีเดือดระอุ! ‘โจ๊ก’ให้ถ้อยคำป.ป.ช.คดีทุจริต’ไบโอแมทริกซ์-รถตรวจการไฟฟ้า’ลั่นใครฉ้อราษฎร์บังหลวงมีอันเป็นไปปัดจัดฉากชิงเก้าอี้ผบ.ตร.

10ม.ค.2563 จากกรณีเหตุคนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนใช้อาวุธปืนยิงใส่รถยนต์ยี่ห้อเล็กซัส สีขาว หมายเลขทะเบียน 9กจ 351 กทม. ของพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง)  และอดีตผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง(ผบช.สตม.) ฝั่งประตูรถมุมล่างด้านซ้าย บริเวณลานจอดรถหน้าร้านนวดแผนโบราณแห่งหนึ่ง ถนนสุรวงศ์ เมื่อเวลา 21.40 น.วันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากไม่มีใครอยู่ในรถ

ต่อมาวันที่ 7 ม.ค.พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เดินทางเข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนที่สน.บางรัก และ เชื่อว่าปมขัดแย้งมาจากการทุจริตโครงการไบโอเมทริกซ์ มูลค่า 2.1 พันล้านบาท ซึ่งใกล้วันที่ตนจะไปให้ปากคำต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)

อย่างไรก็ตาม  มีการเผยแพร่ “คลิปลับ….เบรกคดีโจ๊ก” ซึ่งเป็นคลิปการคุยทางโทรศัพท์ที่พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.สั่งให้พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผบ.ตร. ซึ่งลงไปติดตามคดีคนร้ายยิงรถพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวคดีดังกล่าว สร้างความไม่พอใจแก่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ถึงกับเรียกร้องให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ลาออก

และเมื่อเวลา10.30น.วันที่ 10ม.ค.​ ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ  ​สนามบินน้ำ​ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์​  เข้าให้ถ้อยคำต่อเจ้าหน้าที่​ ป.ป.ช.​ ในฐานะพยานกรณีเรื่องร้องเรียนให้ตรวจสอบการจัดซื้อเครื่องไบไอแมทริกซ์​ และรถตรวจการไฟฟ้า​ ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง​ (สตม.)​ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)​ วงเงิน​2,100 ล้านบาท​ โดยเดินทางมาพร้อมกับ อดีตรอง​ ผบช.สตม.​ที่อ้างว่าเป็นคนที่ไม่ยอมเซ็นรับมอบโครงการจัดซื้อดังกล่าวจนถูกโยกย้ายออกจากตำแหน่ง

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนให้ถ้อยคำต่อ ป.ป.ช.ว่า ป.ป.ช.นัดตนและอีกไม่ต่ำกว่า 40 คน มาให้ข้อมูลในฐานะพยาน โดยจะทยอยกันมา อย่างไรก็ตาม ในเมื่อความยุติธรรมในองค์กรมันหาไม่ได้ จึงต้องมาหานอกองค์กรแบบนี้ ที่ผ่านมาตนทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แล้ว วันนี้ (10 ม.ค.) น่าจะเป็นวันสุดท้ายที่จะให้สัมภาษณ์ จากนี้ไปจะไม่ให้สัมภาษณ์ เพราะเมื่อมาให้การกับ ป.ป.ช.แล้ว จึงหมดหน้าที่ ต่อไปจะเป็นเรื่องของ ป.ป.ช. เรื่องนี้จะเป็นบทเรียนและตัวอย่างให้กับหน่วยต่างๆ ในการที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดินและของชาติ ในเรื่องของหลวงก็เหมือนกัน ตนไม่เอ่ยชื่อ มั่นใจว่าเมืองไทยสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ใครก็ตามฉ้อราษฎร์บังหลวงมีอันเป็นไปหมด

“วันนี้โลกมันเจริญแล้ว กระบวนการยุติธรรมมีความชัดเจน อย่าไปนึกว่าอะไรที่เราทำแล้วเขาจะไม่รู้ อย่าเอามือไปปิดแผ่นฟ้า ต้องพอกันได้สักที และวิธีการเก่าๆ โบราณ ยิงนั่นยิงนี่ขู่เขา อย่านึกว่าเขาไม่รู้ คนที่ไม่รู้คือ ตัวเองที่ไม่รู้ว่าเขารู้กันหมดแล้ว ผมกำลังทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ การที่สมัยผมเป็น ผบช.สตม.กล้าเซ็นยกเลิกสัญญาโครงการไบโอแมทริกซ์ โดยไม่บอกคนอื่น เพราะไม่อยากดัง แต่เมื่อวันนี้มันเกิดเหตุอย่างนี้จึงต้องให้รู้เสียที มันถึงจุด ถึงเวลา เป็นวันที่ผมรอคอยที่จะมาให้การกับ ป.ป.ช.”พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าว

อดีตผบช.สตม.กล่าวอีกว่า สำหรับหลักฐานที่นำมายื่นต่อ ป.ป.ช.มีนิดหน่อย เพราะอยู่ในหัวตนหมดแล้ว อีกทั้งป.ป.ช.ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงนานแล้ว คงจะมีข้อมูลมากพอสมควร เช่นเดียวกับที่นายษิทรา เบี้ยบังกัด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนเพื่อประชาชนและสังคม ได้นำมายื่นให้  อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าไบโอแมทริกซ์เป็นระบบที่ดี ไม่ได้ต่อต้านระบบนี้เลย และเห็นด้วย พราะเป็นนโยบายนายกรัฐมนตรี แต่การจัดซื้อมีความผิดปกติ มีการปรับเพิ่มงบประมาณ มีการส่งงานล่าช้า ระบบทำงานเชื่อมต่อไม่ได้ มีการส่งไปตามสถานีตำรวจภูธรจังหวัดโดยไม่ใช้งาน เพราะเป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับ ตม. ไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตามทีโออาร์ที่กำหนดไว้ 30 ข้อ มีการตรวจรับโดยที่งานยังไม่เสร็จ จึงขอเตือนบางหน่วยให้เลิกแถลงข่าว เพราะยิ่งแถลงยิ่งมัดตัว ตนเป็นอดีต ผบช.สตม. รู้ทั้งนั้น ถ้าสิ่งที่ตนพูดนั้นโกหกคงไม่กล้าออกมาพูดตรงนี้ ใครจะกล้ามาสู้กับผู้มีอำนาจแบบนี้ถ้าไม่จวนตัวจริงๆ ไม่ไหวแล้ว ต้องพอสักที

ส่วนเรื่องรถตรวจการไฟฟ้าของ สตม.นั้น พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า  มีการเอางบของ สตม.โอนไป สตช. จัดซื้อเองมีพิรุธ และมีข้อสังเกตว่ารถตรวจการไฟฟ้าเป็นรถบีเอ็มดับบลิวและซื้อขาด 260 คัน มูลค่า 900 ล้านบาท รถเหล่านี้เป็นรถไฟฟ้า ใช้ไวไฟเชื่อมต่อ แต่มีการเอาไปใช้ที่ด่านชายแดน จ.อุบลราชธานี นครราชสีมา ยะลา ปัตตานี ถามว่ามันจะเอาปลั๊กอินมาจากไหน รถต้องจอดทิ้งไว้เฉยๆ หากจะเอาไปเติมน้ำมันก็จะผิดทีโออาร์ เพราะเขาให้ใช้ไฟฟ้า สุดท้ายนำรถเหล่านี้มานำขบวน ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ ไม่คุ้มค่า

ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจว่าจะจับคนร้ายที่ยิงรถยนต์ส่วนตัวได้หรือไม่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เสียงคลิปมาขนาดนั้น ยอมรับว่าเรื่องคดีตนไม่ได้ตามแล้ว เพราะฟังเสียงในคลิปก็อ่อนใจแล้ว วันนี้คนในคลิปต้องตอบสังคม และขอโทษต่อสังคม เราจะอยู่กันอย่างไร การเป็นผู้นำองค์กรแบบนี้ การสั่งการเป็นเรื่องส่วนตัวทั้งสิ้น หากตนถูกพาดพิงต้องยิ่งแสดงให้เห็นว่าไม่ได้เป็นคนสั่งการ ต้องสั่งรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไปติดตามคนร้ายให้ได้ แต่ไปสั่งไม่ให้ทำงาน แค่นี้ก็เดากันได้แล้วว่าจะจับคนร้ายได้หรือไม่ และไม่มีทางที่ตนจะสร้างสถานการณ์เอง ไม่ใช่คนอย่างนั้น

เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเกมที่จะทำให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ได้กลับไปทำงานที่ สตช. พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เรื่องตนกลับหรือไม่กลับเป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชา ไม่ได้เป็นเกม ตนถูกกระทำจริงๆ ถ้าเป็นเกมต้องไม่มีเรื่องแบบนี้ เรื่องกลับหรือไม่กลับ สตช.ตนเฉยๆ ตั้งแต่ถูกย้ายให้มาอยู่สำนักนายกรัฐมนตรี ไม่เคยร้องเรียนและร้องขอความเป็นธรรม เราเป็นข้าราชการอยู่ตรงไหนก็ได้ แต่วันนี้มันเหมือนการขุดลอกคูคลอง จะต้องเอาน้ำเสียออกไปเยอะๆ และเอาน้ำดีเข้ามามากๆ ตนเหลืออายุราชการ 11 ปี ถ้าไม่ทำแบบนี้จะมีที่ยืนได้อย่างไร ความจริงแล้วเรื่องเซ็นยกเลิกสัญญาไบโอแมทริกซ์มันมีอะไรมากกว่านั้น มีการพูดคุยกันหลายส่วน แต่ตนพูดไม่ได้ จึงให้กระบวนการตรวจสอบทำหน้าที่ต่อไป

“ที่มีปัญหาและขัดแย้งกันทุกวันนี้ก็เรื่องนี้ เพราะมีการติดต่อให้ไปพบและเจรจาหลายครั้งแล้วเพื่อให้ยุติ แต่ตนยุติไม่ได้ ต้องดำเนินต่อไปเพื่อให้ความจริงปรากฏ ส่วนจะช้าหรือเร็วแต่ความจริงปรากฏแน่นอน อย่างไรก็ตาม นอกจากการสั่งการให้นายตำรวจระดับสูงตรวจรับเรื่องไบโอแมทริกซ์แล้ว ยังมีการตั้งการคณะกรรมการเพื่อเอาผิดทางวินัยกับผมที่ไปเซ็นยกเลิกสัญญา แต่นายตำรวจระดับสูงคนนั้นไม่ทำ”

เมื่อถามถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ระบุจะเป็นคนเคลียร์ใจให้ระหว่าง พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ กับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.นั้น พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร เป็นผู้บังคับบัญชาและเป็นเจ้านายของตน เป็นผู้มีพระคุณ ท่านไม่ได้ยุ่งเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของตน และตนเองไม่ได้ติดต่ออะไรกับท่านในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นเรื่องเคลียร์ใจ พล.อ.ประวิตรไม่ได้สั่งอะไร และไม่มีการโทรศัพท์มาหาแต่อย่างใด

เมื่อถามว่า หากมีการโทรศัพท์มาพร้อมพูดคุยหรือไม่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตนพร้อมคุยด้วยหมดทุกเรื่อง แต่จะให้ทำในสิ่งผิดกฎหมายตนไม่ทำ

ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และอดีตผบ.ตร. ระบุว่า การจัดฉากในเรื่องนี้เพื่อแย่งชิงตำแหน่ง ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เป็นความเห็นของผู้ใหญ่ ตนจะแย่งชิงได้อย่างไรในเมื่อเป็นแค่ พล.ต.ท.เท่านั้นจะไปแย่งชิงไม่ได้

ถามอีกว่า มีความมั่นใจแค่ไหนในข้อมูลที่จะให้ต่อ ป.ป.ช. ว่าจะสามารถมัดผู้ถูกร้องได้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า พยานมีหลายคน ซึ่งในส่วนของกรรมการตรวจรับหลายคนก็มาให้ถ้อยคำ ส่วนข้อมูลที่มีตนมั่นใจ แต่เรื่องเอาผิดและลงโทษนั้นขึ้นอยู่กับคณะกรรมการป.ป.ช. จะพิจารณา ตนมั่นใจในสิ่งที่ทำว่าถูกต้อง เพราะเป็นคนเดียวที่กล้าบอกเลิกสัญญา ทำในหน้าที่ เชื่อมั่นว่าพยานหลักฐานต้องนำไปสู่ความจริงได้