ตำรวจเปิดบ่อน สถานบันเทิงผิดกฎหมาย  กับคำสั่ง’เด้ง’แบบ ‘ลิงหลอกเจ้า-พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร

ตำรวจเปิดบ่อน สถานบันเทิงผิดกฎหมาย  กับคำสั่ง’เด้ง’แบบ ‘ลิงหลอกเจ้า-พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร

ยุติธรรมวิวัฒน์

 

ปัญหาสังคมและการรักษากฎหมายง่ายๆ เรื่องหนึ่งซึ่ง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ว่าขณะเป็นหัวหน้า คสช. หรือรัฐบาลประชาธิปไตยแบบไทยๆ ในปัจจุบัน แก้ไม่ได้ รวมทั้ง ประชาชนเองก็ไม่แน่ใจว่าท่านจริงใจหรือไม่? คือ

บ่อนการพนันและแหล่งอบายมุขผิดกฎหมายทำลายสังคม โดยเฉพาะ เด็ก สตรีและเยาวชน ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศมากมาย

ในช่วงเวลาที่ผ่านมากว่าห้าปี การจับกุมแหล่งอบายมุขเหล่านี้ ผู้คนเห็นกันแต่บทบาทของกรมการปกครองและทหารในการสืบจับตามคำสั่ง คสช. 23/2557 เรื่อง ห้ามเล่นการพนัน ตู้ม้า และหวยเถื่อน และคำสั่งที่ 22/2558การควบคุมสถานบริการ เป็นหลัก

ท้ายคำสั่งทั้งสองฉบับ ได้ คาดโทษตำรวจผู้รับผิดชอบ ที่ละเลยหรือรู้เห็นเป็นใจไว้อย่าง น่ากลัว ยิ่ง!

แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่า หน่วยตำรวจสารพัดที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ไม่ว่าสถานี กองบังคับการ กองบัญชาการ ไปจนกระทั่งกองปราบ สอบสวนกลางและตำรวจแห่งชาติ

 ผู้คนไม่เคยได้ยินว่ามีบทบาทอะไรในการสืบสวนจับกุมแหล่งอบายมุขตามหน้าที่ของตนและแม้กระทั่งคำสั่ง หน.คสช.ดังกล่าวแต่อย่างใด?

อย่างเมื่อคืนวันศุกร์ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา กรมการปกครองก็ได้ร่วมกับปลัดจังหวัดและนายอำเภอเมืองสุโขทัย ไปจับ ผับเถื่อน กลางเมือง มรดกโลกทางวัฒนธรรม ซึ่งเต็มไปด้วยวัดวาอารามเก่าแก่มากมายอายุไม่น้อยกว่า 800 ปี                

พบหนุ่มสาวนักเที่ยว 260 คน ดื่มกินและเต้นกันอย่างเมามัน ในจำนวนนั้นเป็นเด็กและเยาวชน 154 คน หลักฐานการเสพยาส่วนหนึ่งถูกทิ้งไว้ที่พื้น

กรมการปกครอง
 ใต้ภาพ (ชุดปฏิบัติการพิเศษ กรมการปกครอง ร่วมกับปลัดจังหวัดและนายอำเภอเมืองสุโขทัย จับสถานบันเทิงเถื่อนในเขตอำเภอเมืองเมื่อวันที่ 14 ก.ย.2562 เวลา 00.30 น. พบเป็นเด็กและเยาวชนจำนวน 154 คน)

หลังฝ่ายปกครองเข้าจับกุม ก็ตามมาด้วยคำสั่งของผู้บังคับการตำรวจจังหวัด เด้ง ตำรวจผู้รับผิดชอบสถานีตั้งแต่หัวหน้ายันสารวัตร 5 นาย ไปปฏิบัติราชการที่จังหวัด

พร้อมการแถลงข่าวของผู้เกี่ยวข้อง รวมทั้ง โฆษก ด้วยท่าทีขึงขัง จะตั้งกรรมการขึ้นสอบหาข้อเท็จจริงว่า มีใครรับส่วยสินบนจากผับเถื่อนแห่งนี้ หรือมีตำรวจระดับใดบกพร่องต้องถูกลงโทษทางวินัยบ้างหรือไม่?    

เป็นการแถลงแบบ แผ่นเสียงตกร่อง ไม่ต่างจากกรณีที่ฝ่ายปกรองและทหารจับแหล่งอบายมุขทั่วประเทศ น่าจะร่วมร้อยแห่ง ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา

มีตำรวจถูกสั่งให้ปฏิบัติราชการที่ตำรวจภาค หรือจังหวัดในลักษณะนี้ รวมแล้วน่าจะมีเกือบสามร้อยนาย!

หลังออกคำสั่ง สื่อมวลชนต่างพากันพาดหัวข่าวกันในทำนองว่า ตำรวจผู้รับผิดชอบ ถูกเด้ง ถูกดำเนินการทางวินัยไปอย่างรวดเร็วแล้ว

แต่แท้จริงการสั่งดังกล่าวไม่ใช่การลงโทษตามกฎหมายอะไรที่ทำให้ตำรวจนายใดเดือดร้อนถึงขั้นส่งผลต่ออนาคตราชการให้ไม่เจริญก้าวหน้าแต่อย่างใด?

 ตำรวจที่ไม่เคยเกี่ยวข้องรับส่วยสินบนบ่อนการพนันหรือแหล่งอบายมุขอะไรหลายนายก็ถูกสั่งย้ายไปในตำแหน่งต่างๆ โดยไม่ได้สมัครใจ ไม่ว่าจะไปอยู่ต่างภาคหรือฝ่ายอำนวยที่ไม่มีใครต้องการทำงานแบบนั้นกันก็มากมาย

  ซ้ำการสั่งให้ไปปฏิบัติราชการดังกล่าวยังเท่ากับให้ตำรวจเหล่านี้นั่งรับเงินเดือนและค่าตอบแทนต่างๆ จากภาษีของประชาชนเท่าเดิม โดยไม่ต้องทำงานเป็นชิ้นเป็นอันกันแต่อย่างใด!

โทษทางวินัยตามกฎหมายตำรวจ แบบโบราณ ที่คัดลอกมาจากทหาร ถูกบัญญัติไว้ในมาตรา 82 มีอยู่ 7  สถานคือ (1) ภาคทัณฑ์ (2) ทัณฑกรรม (3) กักยาม (4) กักขัง (5) ตัดเงินเดือน (6) ปลดออก และ (7) ไล่ออก

ถ้าทำผิดวินัยร้ายแรงตามมาตรา 79 เช่น ทุจริต กระทำความผิดอาญา ขนค้ายาเสพติด หรือ รับส่วยสินบน นอกจากต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว ก็ต้องถูกลงโทษ “ไล่ออก” หรือ “ปลดออก” ด้วย

แต่ถ้าผิดวินัยไม่ร้ายแรง เช่น ไม่เอาใจใส่ต่อหน้าที่ หรือมีความบกพร่องเล็กน้อย ก็สามารถสั่งจำกัดอิสรภาพด้วยการนำตัวไป  “กักขัง” “กักยาม” หรือ “ภาคทัณฑ์” เป็นอย่างต่ำ

ตำรวจคนที่ถูกลงโทษกักขังหรือกักยาม ปีนั้นจะไม่มีสิทธิ์ได้รับการเลื่อนเงินเดือน

แต่ถ้าถูก “ภาคทัณฑ์” ยังได้ หนึ่งขั้น เหมือนตำรวจที่ไร้เส้นสายส่วนใหญ่ได้กัน

โดยเฉพาะ พนักงานสอบสวน บางนายในชีวิต  สองขั้นแทบไม่เคยรู้จักก็มี!

 แต่กลับถูกสั่ง กักขัง กักยาม หรือ ภาคทัณฑ์ กันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย!

บ่อนการพนันและสถานบันเทิงผิดกฎหมายทุกแห่งนั้น  ถ้าแค่ผู้บัญชาการตำรวจสั่งใน การประชุมรายเดือน หรือเป็นหนังสือว่า ให้หัวหน้าสถานีและผู้บังคับการตรวจตราจับกุมอย่างจริงจัง

และหลังประชุม ซองกฐินผ้าป่า ไม่ว่าจะบางหรือหนาเพียงใด โรงพักเล็กหรือใหญ่ ไม่ต้องมายืนรอเข้าคิวให้อีกต่อไป!

สั่งให้ปรากฏพร้อมคาดโทษผู้กำกับสืบสวนจังหวัด และ ผบก.สืบสวนไว้ ให้สืบหาหลักฐานว่ามีการเปิดบ่อนหรือสถานบันเทิงผิดกฎหมายในพื้นที่ใด ไม่ต้องรอให้ใครไปจับ

จะใช้รายงานหลักฐานนั้น ตั้งกรรมการสอบสวนลงโทษผู้รับผิดชอบทุกระดับข้อหาบกพร่องต่อหน้าที่ทันที

ถ้าผู้บัญชาการตำรวจสั่งเพียงแค่นี้ รับรองว่าแม้แต่การพนันงานศพตามวัดไม่เล็กหรือใหญ่ในประเทศไทย ไม่มีใครกล้าเล่นอย่างแน่นอน

และสถานบันเทิงผิดกฎหมายที่มีอยู่มากมายเป็นแหล่งค้าขายยาเสพติด จะปิดลงทันทีทั้งประเทศ

แต่ในความเป็นจริง หาเป็นเช่นนั้นไม่

หลังหน่วยอื่นเข้าจับกุมแหล่งอบายมุขไม่ว่าประเภทใด เราจะได้ยินว่าผู้บังคับการหรือผู้บัญชาการได้สั่งตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อลงโทษทางวินัยตำรวจผู้รับผิดชอบกันทุกครั้ง

แต่ไม่ว่า นายกรัฐมนตรี จะตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังไปกี่สิบปี

ก็จะพบว่า ไม่เคยมีผลการสอบสวนกรณีใด ที่ทำให้ตำรวจถูกลงโทษวินัยร้ายแรงถูก ไล่ออก หรือ ปลดออก

หรือแม้แต่ความผิดวินัยไม่ร้ายแรง เพราะบกพร่องต่อหน้าที่ ผู้บังคับบัญชามีคำสั่ง “กักขัง หรือ “กักยาม ทำไม่ได้รับการเลื่อนเงินเดือนประจำปีแม้แต่คนเดียว!          

การสั่งเด้งจึงเป็นเพียง “ลิงหลอกเจ้า” “หลอกสื่อมวลชนและประชาชน ไปวันๆ เท่านั้น!.

ปกครองจับผับเถื่อน

ที่มา: ไทยโพสต์  คอลัมน์: เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ: Monday, September 16, 2019