แต่งตั้งตำรวจไม่เป็นไปตามหลักอาวุโสขัดรธน. หัวหน้าคสช.ใช้ ม.44 ออกคำสั่งคุ้มครองได้จริงหรือ?

แต่งตั้งตำรวจไม่เป็นไปตามหลักอาวุโสขัดรธน. หัวหน้าคสช.ใช้ ม.44 ออกคำสั่งคุ้มครองได้จริงหรือ?

virute

                        แต่งตั้งตำรวจไม่เป็นไปตามหลักอาวุโส ขัด รธน.

                        หัวหน้า คสช. ใช้ ม.44 ออกคำสั่งคุ้มครองได้จริงหรือ?

                                                                    พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร

การเมืองในช่วงเวลานี้กำลังเข้มข้น นักการเมืองแต่ละคนหาเสียงกันอย่างดุเดือด แย่งกันสัญญาจะทำนั่นทำนี่เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้นกันมากมาย

แต่ปัญหาคือ สุดท้ายหากได้อำนาจรัฐแล้ว แต่ละพรรคแต่ละคน จะทำ และ ทำได้ จริงหรือไม่?

โดยเฉพาะ การปฏิรูปตำรวจและระบบงานสอบสวนกระบวนการยุติธรรมชั้นต้น

สองเรื่องนี้ ได้ยินแต่พรรคประชาธิปัตย์ พรรครวมพลังประชาชาติไทย และพรรคอนาคตใหม่เท่านั้น ที่บอกต่อสาธารณะว่ามีนโยบายในการปฏิรูปตำรวจอย่างมีนัยสำคัญ 

                นั่นคือการกระจายอำนาจเป็นตำรวจจังหวัด 

                ส่วนงานสอบสวนต้องมีหลักประกันความเป็นอิสระ ภายใต้การตรวจสอบที่เข้มงวดจากหลายช่องทาง เพื่อไม่ให้ผู้บังคับบัญชาหรือใครสามารถแทรกแซง สั่งให้ยัดข้อหาประชาชน หรือ ให้สอบสวนทำลายพยานหลักฐาน ได้ 

                สำหรับแนวคิดตำรวจจังหวัดคือ ใครเริ่มรับราชการที่ไหน ให้เจริญเติบโตเป็นหัวหน้าสถานีและหัวหน้าตำรวจจังหวัดนั้น ไม่มีการย้ายข้ามจังหวัดหรือภูมิภาคไปมาให้เกิดความชุลมุนวุ่นวายกันเช่นปัจจุบัน

                ส่วนพรรคอื่นๆ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ยังไม่ได้ยินการพูดจาอะไรออกมาให้ชัดเจน?  

                ในบรรดาการแต่งตั้งข้าราชการกระทรวงทบวงกรมต่างๆ นั้น ที่มีปัญหาทำลายขวัญและกำลังใจของผู้ปฏิบัติงานส่วนใหญ่มากที่สุดก็คือตำรวจ

เมื่อถึงวาระการแต่งตั้งแต่ละครั้ง ตำรวจแต่ละคนโดยเฉพาะชั้นสัญญาบัตรส่วนใหญ่ต่างเดินคอตกกะปลกกะเปลี้ย!

เพราะไม่มีใครรู้อนาคตและชะตากรรมว่า จะได้เลื่อนตำแหน่งที่ทำงานอยู่และควรได้หรือไม่ ซ้ำยังจะถูกโยกย้ายไปนอกหน่วย นอกจังหวัด หรือนอกภูมิภาคที่ไม่คุ้นเคยและไม่รู้จักผู้คนใกล้ไกลแค่ไหน? การพิจารณาได้เป็นไปอย่างยุติธรรมหรือไม่?

เนื่องจากไม่ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์การเลื่อนตำแหน่งโยกย้ายที่ชัดเจนและเป็นธรรมต่อตำรวจส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะการใช้ลำดับอาวุโสการครองตำแหน่ง วิธีสอบแข่งขัน หรือการประเมินที่เป็นวิทยาศาสตร์อื่นใด!

นำไปสู่ปัญหาการวิ่งเต้นจนตำรวจไม่เป็นอันทำงานการมาหลายสิบปี ต่างไปจากเมื่อก่อนนี้ที่ให้ยึดอาวุโสเป็นลำดับแรก ทำให้มีปัญหาการซื้อขายตำแหน่งเกิดขึ้นหลังจากที่ได้มีการแก้ไขหลักเกณฑ์การแต่งตั้งให้ไม่ต้องยึดหลักอาวุโสนับแต่ประมาณปี 2530 เป็นต้นมา  

ตำรวจบางคนอับจน วิ่งกันจนกระทั่ง คนขับรถแท็กซี่ ที่ขนาดระดับรองผู้บังคับการและรองลงมาในตำรวจภาค 4 รวม 6 คน เชื่อว่าเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์สามารถเชื่อมต่อถึงผู้มีอำนาจได้ หลงจ่ายเงินซื้อตำแหน่งไปรวมกว่าสี่ล้านบาท เป็นข่าวอื้อฉาวเมื่อปีที่แล้ว

ผิดทั้งอาญาและวินัย แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ยินว่ามีตำรวจคนใดถูกลงโทษตามกฎหมายเลย?

มาปีนี้ก็มีปัญหา สองผัวเมียนักธุรกิจ ที่ประสบปัญหาอ้างว่าสามารถจะช่วยให้ได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายตามที่ต้องการได้ มีตำรวจ 10 นายหลงเชื่อ จ่ายเงินไปรวม 1 ล้านห้าแสนบาท

เหล่านี้คือพวกที่มีปัญหา เพราะ จ่ายแล้วไม่ได้ตามสัญญา

                การปฏิรูปตำรวจและงานสอบสวนในฐานะเป็นเจ้าพนักงานกระบวนการยุติธรรมทางอาญาชั้นต้นของประเทศนั้น จึงเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสำคัญถึงขนาดบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560

บังคับให้รัฐบาลต้องออกกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูปให้แล้วเสร็จในหนึ่งปีนับแต่วันที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้คือใน วันที่ 6 เมษายน 2561  

หากไม่แล้วเสร็จตามกำหนด ให้การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจเป็นไป ตามหลักอาวุโสทั้งหมด

                ทุกคนคงจำคำพูดของ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายในเรื่องนี้เมื่อประมาณเกือบสองปีที่ผ่านมาได้ว่า ถ้าการปฏิรูปตำรวจไม่เสร็จตามกำหนด การแต่งตั้งตำรวจต้องเป็นตามหลักอาวุโสแบบ ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม!

พลเอกบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ประธานคณะกรรมปฏิรูปตำรวจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 260 ได้ร่างแก้ไข พ.ร.บ.ตำรวจใหม่ เสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาไปก่อนครบกำหนดระยะเวลาหนึ่งปีประมาณสองสามเดือน

นายกฯ ดูแล้วยังไม่พอใจ จึงได้ตั้งให้ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานอีกชุดหนึ่งพิจารณาใหม่ทั้งหมด รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวกับการสอบสวนด้วย

ผลสุดท้ายปรากฏว่า คณะกรรมการชุดนี้ร่างกฎหมายปฏิรูปตำรวจและการสอบสวนไม่เสร็จภายในหนึ่งปีตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติบังคับไว้ในมาตรา 260 วรรคสาม

เมื่อใกล้ถึงวาระแต่งตั้งตำรวจแทนคนเกษียณประจำปี  นายกรัฐมนตรีจึงได้ออกประกาศสำนักนายกฯ ในวันที่ 25 ก.ค.2561 ใช้ชื่อเรื่องว่า หลักเกณฑ์การแต่งตั้งโยกย้ายตามหลักอาวุโส”

เป็นการแต่งตั้งตามหลักอาวุโสทั้งหมด หรือใช้อาวุโสเพียง 33 เปอร์เซ็นต์กันแน่

ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าว จึงมีปัญหาเรื่อง ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

                นำไปสู่การร้องเรียนของตำรวจผู้ได้รับผลกระทบหลายคน แม้กระทั่งชั้นนายพลระดับรองผู้บัญชาการที่ไม่ได้เลื่อนตำแหน่งตามอาวุโส และอาจยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ประกาศดังกล่าวเป็นโมฆะ

เป็นที่มาให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ใช้อำนาจมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวตามที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 รับรองไว้ในมาตรา 265  วรรคสอง

ออกคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 20/2561 คุ้มครองว่า หลักเกณฑ์การแต่งตั้งตำรวจที่กำหนดไว้ในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ชอบด้วยกฎหมายทุกประการ

ปัญหาคือ การใช้อำนาจมาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวดังกล่าว ถูกขยายความตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 265 วรรคสอง ถึงขนาดว่า สามารถออกคำสั่งรับรองประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญได้จริงหรือ?  

ในขณะที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 5 บัญญัติว่า

                “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ หรือการกระทำใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้”.

               

ที่มา: ไทยโพสต์ คอลัมน์: เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ: Monday, March 04, 2019