‘สีเผือก’ผนึกเจ้าของลิขสิทธิ์MVคาราโอเกะยื่นอสส.ตรวจสอบคำสั่งไม่ฟ้องคดีAISละเมิดลิขสิทธิ์

‘สีเผือก’ผนึกเจ้าของลิขสิทธิ์MVคาราโอเกะยื่นอสส.ตรวจสอบคำสั่งไม่ฟ้องคดีAISละเมิดลิขสิทธิ์

karaoke

เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2562 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ นายอัตพร ช่วยชบ เจ้าของลิขสิทธิ์เพลง พร้อมด้วยนายอิศรา อนันตทัศน์ หรือ “สีเผือก คนด่านเกวียน” กับทีมศิลปิน และนายกิ่งแก้ว โยมเมือง หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายกลุ่มธรรมาภิบาล ในฐานะทนายความ ได้เดินทางมายื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อนายเข็มชัย ชุติวงศ์ อัยการสูงสุด (อสส.) พร้อมนำเอกสารสรุปข้อเท็จจริงจำนวน 1 แฟ้ม ส่งประกอบให้พิจารณาด้วย ในคดีที่พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) มีคำสั่งไม่ฟ้องบริษัท เอไอเอส กับพวก เมื่อเดือน มิ.ย. 2561 โดยมีนางวรรณา พานิชเจริญ อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการอัยการ เป็นผู้แทนรับเรื่อง

 

โดยหนังสือร้องเรียนมีเนื้อหาสรุปได้ว่า นายอัตพร ช่วยชบ เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ประเภทงานสิ่งบันทึกเสียง และงานโสตทัศนวัสดุ ผลงานมิวสิควิดีโอคาราโอเกะชื่ออัลบั้ม “คนใต้ใจเต็ม” ขับร้องโดยศิลปิน “เสาร์ 5” และผลงานมิวสิควิดีโอคาราโอเกะชื่ออัลบั้ม “รักคนเลว” ขับร้องโดยศิลปิน “นันท์ กรีนไลฟ์” เมื่อเดือน ก.ค. 2559 ได้ตรวจพบว่าผลงานมิวสิควิดีโอทั้งสองอัลบั้มถูกนำมาเผยแพร่เพื่อการค้าอยู่บนระบบแอพพลิเคชั่น AIS KARAOKE บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยลูกค้าผู้ใช้บริการต้องเสียค่าใช้จ่ายในอัตราเดือนละ 119 บาท ใช้ชื่อผู้ให้บริการว่า บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ใช้ชื่อทางการค้าว่า เอไอเอส (AIS) จึงได้ติดต่อแจ้งไปยังบริษัทเอไอเอสว่าได้ละเมิดลิขสิทธิ์ผลงานมิวสิควิดีโอคาราโอเกะ แต่บริษัทกลับเพิกเฉยและอ้างว่าไม่เคยละเมิดลิขสิทธิ์ผู้ใด

 

ข้าฯ จึงได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีบริษัทเอไอเอสกับพวก นับแต่วันที่ 5 ก.ย. – 10 ต.ค. 2559 รวม 21 คดี ต่อมาพนักงานสอบสวน บก.ปอศ. ได้เรียกสำนวนการสอบสวนจากสถานีตำรวจภูธรต่างๆ มารวมทั้ง 21 คดีเข้าด้วยกัน โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เสียหายและไม่ได้แจ้งให้ผู้เสียหายทราบ จากนั้นคณะพนักงานสอบสวนตามคำสั่ง บก.ปอศ.ที่ 16/2560 ไม่ทำการสอบสวนเพิ่มเติมข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความ กลับด่วนสรุปสำนวนว่ามีความเห็นสั่งไม่ฟ้องบริษัทเอไอเอสกับพวกเมื่อเดือน มิ.ย. 2561 ทั้งที่พบว่ามีการละเมิดลิขสิทธิ์อยู่บนแอพพลิเคชั่น AIS KARAOKE จริง

 

จากข้อเท็จจริงได้ความว่าบริษัทเอไอเอสน่าจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องเชื่อมโยง และมีการแบ่งปันผลประโยชน์รายได้จากการให้บริการแอพพลิเคชั่น AIS KARAOKE กับบริษัทดังกล่าวต่อไปนี้ 1.บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยมีแอพพลิเคชั่น AIS KARAOKE ไว้คอยให้บริการแก่ลูกค้า และเป็นผู้จัดเก็บเงินค่าบริการแอพพลิเคชั่นดังกล่าวจากลูกค้า 2.บริษัท ไมโม่เทค จำกัด เป็นผู้พัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศ บริการรวบรวมข้อมูลสำหรับบริการเสริมบนโทรศัพท์เคลื่อนที่  ซึ่งเป็นผู้จัดทำแอพพลิเคชั่น AIS KARAOKE 3.บริษัท วิสดอม วาสท์ จำกัด เป็นผู้จัดทำและพัฒนาระบบแอพพลิเคชั่น AIS KARAOKE ตามคำสั่งของบริษัท ไมโม่เทค จำกัด ซึ่งเป็นผู้ดูแลระบบ

 

4.บริษัท ยูนิกซ์ เดฟ จำกัด เป็นผู้แปลงไฟล์จากไฟล์ MP4 ให้เป็นไฟล์  HLS เพื่อให้บริการสตรีมมิ่งบนแอพพลิเคชั่น AIS KARAOKE นำข้อมูลเพลงดังกล่าวเข้าสู่ระบบเพื่อให้บริการแก่ลูกค้า โดยนำข้อมูลไฟล์เพลงไปจัดเก็บไว้ที่บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) 5.บริษัท เอ็มพีทรี โมบาย เน็ทเวิร์ค จำกัด เป็น (คอนเทนท์) ผู้จัดหาเพลงคาราโอเกะรวมทั้งข้อมูลเพลงมาส่งมอบให้กับบริษัท ไมโมเทค จำกัด 6.บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดเก็บข้อมูล และเชื่อมสัญญาณกับโครงข่ายสัญญาณของบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าที่ได้ชำระค่าบริการตามอัตราที่บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด กำหนด

 

“ในวันนี้ข้าฯ พร้อมด้วยกลุ่มศิลปิน นักร้อง ผู้สร้างสรรค์ ได้เดินทางมาขอขอบพระคุณท่านอัยการสูงสุดที่ให้ความเป็นธรรม โดยสำนักงานอัยการสูงสุดได้รับเรื่องไว้พิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงและพิจารณาให้ความเป็นธรรมแก่ข้าพเจ้าแล้ว โดยเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ทางทรัพย์สินทางปัญญาเป็นการกระทำที่มีผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศและเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งประเทศไทยก็เป็นภาคีแห่งอนุสัญญากรุงเบอร์น อีกทั้งรัฐบาลก็มีนโยบายปรามปรามและนำตัวผู้กระทำผิดมารับโทษอย่างจริงจังและต่อเนื่องเพื่อให้ผู้กระทำผิดได้หลาบจำและไม่กลับมากระทำความผิดอีก จึงขอขอบคุณท่านอัยการสูงสุดและสำนักงานอัยการสูงสุดที่ได้ให้ความเป็นธรรมแก่ข้าฯ และผู้มีส่วนได้รับความเสียหาย และขอท่านได้โปรดมีคำสั่งให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดและบุคคลที่เกี่ยวข้องจนคดีถึงที่สุด” นายอัตพร ระบุ

 

นายอัตพร กล่าวว่า นอกจากคดีที่ตนแจ้งความไว้ 21 คดีแล้ว ตนกับบริษัทในเครือของเอไอเอสก็ยังมีคดีที่ฟ้องกันเองอีกด้วย โดยตนถูกบริษัทในเครือของเอไอเอสและศิลปินยื่นฟ้องคดีปลอมลายเซ็นกับคดีแพ่งจากการไขข่าว ที่ทางบริษัทเอไอเอสและศิลปินอ้างว่าได้รับความเสียหาย ซึ่งมีการยื่นฟ้องไว้ที่ศาลจังหวัดมีนบุรี ที่ผ่านมาศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษายกฟ้องตนทั้งสองคดี โดยขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการอุทธรณ์คดีของฝ่ายเอไอเอส ขณะที่ตนก็ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกลับ บริษัทเอไอเอส กับบริษัทแอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ในความผิดอาญาฐานเผยแพร่ต่อสาธารณชนเพื่อการค้าและทำซ้ำ โดยศาลทรัพย์สินฯ กำหนดนัดฟังคำพิพากษาในวันพฤหัสบดีที่ 17 ม.ค. 2562 เวลา 13.30 น. ซึ่งเป็นคดีที่ฟ้องเมื่อปี 2559 ในช่วงเวลาเดียวกับที่ได้แจ้งความกับตำรวจไว้ โดยวันนี้ที่มายื่นร้องขอความเป็นธรรมก็ได้นำข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีความที่ศาลยกฟ้องตนมาให้อัยการสูงสุดพิจารณาประกอบด้วย เพราะถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นใหม่

 

ด้านนายกิ่งแก้ว ทนายความเปิดเผยว่า คดีที่ฟ้องไว้ที่ศาลทรัพย์สินฯ เราไม่ได้เรียกค่าเสียหาย เราฟ้องขอให้ลงโทษอาญาฐานละเมิดลิขสิทธิ์ มีโทษทั้งจำทั้งปรับ ส่วนคดีที่เรามาร้องอัยการสูงสุดวันนี้เป็นเรื่องกล่าวหาบริษัทเอไอเอสและบริษัทในเครือ ซึ่งพนักงานสอบสวน บก.ปอศ. มีคำสั่งไม่ฟ้อง และได้ส่งสำนวนมาให้อัยการแล้ว อัยการก็มีคำสั่งในเบื้องต้นไม่ฟ้อง ซึ่งเราไม่ทราบรายละเอียด แต่เราทราบว่าคดีเกือบจะยุติแล้ว จึงมาร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดให้โปรดพิจารณาอีกครั้ง เพราะเราพบว่ามีการนำเพลงไปให้บริการบนแอพพลิเคชั่นจริง แต่พนักงานสอบสวนสั่งไม่ฟ้องด้วยเหตุผลใดเราไม่ทราบ จึงนำเอกสารหลักฐานทั้งหมดมาให้อัยการสูงสุดพิจารณา ปัจจุบันผู้แทนอัยการสูงสุดก็ได้รับเรื่องไว้พิจารณาให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหาย