ชำแหละ!อำนาจรัฐรวมศูนย์-ตร.รับสินบน-วิกฤติศรัทธาผู้นำ แก้โควิดล้มเหลว จี้ปฏิรูปครั้งใหญ่

ชำแหละ!อำนาจรัฐรวมศูนย์-ตร.รับสินบน-วิกฤติศรัทธาผู้นำ แก้โควิดล้มเหลว จี้ปฏิรูปครั้งใหญ่

วงเสนาชำแหละ!วิกฤติโควิด รัฐซ้อนรัฐ อำนาจรวมศูนย์ ระบบราชการอัมพาตโดนนักการเมืองครอบงำ ผู้นำบ่อท้า “บิ๊กตู่” ไร้แผนแม่บทแทงม้าตัวเดียวอุ้มธุรกิจวัคซีนเอื้อกลุ่มทุน เมินแพทย์แผนไทย “ฟ้าทะลายโจร” ทอดทิ้งฮีโร่ด่านหน้า ปล่อย “ตำรวจ”หากินสินบน สถานบันเทิง บ่อนพนัน แรงงานต่างด้าวต้นตอคลัสเตอร์โควิด จี้แก้รธน.ผ่าทางตัน ถึงเวลาปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ ตำรวจ -ระบบราชการ-กระทรวงสาธารณสุข เน้นกระจายอำนาจยึดโยงประชาชน ลดเหลื่อมล้ำ สลายระบบอุปถัมภ์

เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2564  สถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (สป.ยธ.)ร่วมกับคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) จัดเสวนาวิชาการ ผ่านระบบ ZOOMหัวข้อ  “ระบบราชการกับความล้มเหลวของรัฐในการป้องกันและจัดการปัญหา COVID 19” มีวิทยากรประกอบด้วย  นายกษิต ภิรมย์” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร  เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม  นายธนชาติ ไชยทองพันธ์  กรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิต อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ดร.ณพลเดช มณีลังกา ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการปฏิรูประบบราชการ สภาผู้แทนราษฎร ร่วมเสวนา

 

นายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ กล่าวว่า ระบบราชการที่ดีต้องเป็นประชาธิปไตย มิใช่ทำตัวเป็นอำมาตย์ และต้องมีหน้าที่รับใช้ประชาชนมิใช่รับใช้นักการเมืองโดยเฉพาะตำแหน่งปลัดกระทรวง จำเป็นต้องใช้หลักดุลพินิจอย่างเป็นธรรมโดยเฉพาะข้าราชการ “ตำรวจ” ต้องไม่ทำตัวเป็นศาลหรือผู้พิพากษาผ่านการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบธรรมและนำมาสู่การทุจริตคอร์รัปชัน เช่น การกำหนดค่าปรับ สั่งลงโทษ ควรให้ศาลเป็นผู้ใช้ดุลพินิจ และ ระบบอุปถัมภ์ มิใช่ปล่อยให้ตำรวจกำหนดโทษหรือค่าปรับตามอำเภอใจ จึงกลายเป็นที่มาของ “เงินใต้โต๊ะ” หรือ “เรียกรับสินบน”

 

ทั้งนี้การแก้ปัญหาโควิด นายกรัฐมนตรี ต้องไม่เข้าไปแทรกแซงข้าราชการประจำ หรือ การมีแผนแม่บทในการดูแลประชาชนโดยเฉพาะปัญหาการแพร่ระบาดไวรัสโควิด -19 ที่ต้องมีการบูรณาการข้อมูล ยา วัคซีน อุปกรณ์ทางการแพทย์ และการเจรจากับต่างประเทศ ควรเชิญทูตต่างประเทศ หรือ บริษัทยาเข้ามาหารือผ่านกลไกทางการทูต ทั้งที่เป็นการซื้อขายผ่านรัฐต่อรัฐ หรือวัคซีนบริจาค แต่ปัจจุบันไม่มีแผนแม่บท จึงทำให้การฉีดวัคซีนประเทศไทยล่าช้า

 

นอกจากนี้ไม่มีการเร่งวิจัยและพัฒนาสมุนไพรไทย อาทิ ฟ้าทะลายโจร ทั้งที่ประเทศไทยมีสถาบันการศึกษาชั้นนำกว่า 200 แห่ง ขณะที่ส.ส.ไม่ได้ทำหน้าที่ที่เป็นประโยชน์แก่ภาคประชาชนในการดูแลสิทธิเสรีภาพ มิใช่ปล่อยให้ภาครัฐลิดรอน บังคับข่มขู่ นำกำลังเข้ามากำราบประชาชน หรือ มุ่งออกข้อกฎหมายทำลายฝั่งตรงข้ามทางการเมืองด้วยการอ้างสถานการณ์โควิด

 

รัฐซ้อนรัฐอำนาจรวมศูนย์ระบบราชการอัมพาต

 

นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ประชาชนไม่มีอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง ตั้งแต่รัฐธรรมนูญไม่เชื่อมโยงกับประชาชน ยุทธศาสตร์ชาติเอื้อกลุ่มทุนขนาดใหญ่ รวมถึงการใช้อำนาจทหารเข้ามามีอำนาจในตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รวมถึงกระบวนการยุติธรรมหรือองค์กรอิสระ ไม่ยึดโยงประชาชนปราศจากการตรวจสอบและถ่วงดุล แต่กลับใช้อำนาจตามอำเภอใจ ที่สำคัญอำนาจรัฐ “รวมศูนย์” ปราศจากการกระจายอำนาจท้องถิ่นจนทำให้ประชาชนระดับล่างอ่อนแอ  จึงทำให้การบริหารราชการแผ่นดินเชื่องช้าเป็นเต่าคลาน ยิ่งในสถานการณ์วิกฤตโควิด ทั้งการเยียวยาล่าช้า มาตรการล็อคดาวน์ไร้แผนรองรับ หรือ วัคซีน “แทงม้าตัวเดียว” ด้วยการใช้ข้อมูลปลอม จนปัจจุบันประเทศไทยยังไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ ยอดตัวเลขประชาชนสูญเสียสูงขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่เศรษฐกิจพังย่อยยับประชาชนเดือดร้อนกันทั่วหน้า

 

ทั้งยังปล่อยให้บุคลากรด่านหน้าโดนลอยแพ สิทธิสวัสดิการค่าจ้างท่ามกลางการทำงานบนความเสี่ยงติดเชื้อโควิดปราศจากการดูแลประกันชีวิต จึงทำให้ฮีโร่ด่านหน้าเสียกำลังใจในการทำงาน ยิ่งเส้นทางการนำเข้าวัคซีนเข้ามาไม่โปร่งใส ยิ่งระบบราชการไทยถูกการเมืองครอบงำตัวข้าราชการเองก็กลัวสูญเสียตำแหน่ง ขณะที่สายบังคับบัญชาในระบบราชการยาวเหยียด ทั้งยังไม่ยึดโยงประชาชน จึงอยากเสนอแนะให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นตัดตอน “อำนาจรัฐซ้อนรัฐ” ยิ่งการบริหารจัดการสถานการณ์โควิดล้มเหลวตั้งแต่การแยกแยะพื้นที่สีแดง เหลืองและเขียว การตรวจเชิงรุกล่าช้าขณะที่ระบบสาธารณสุขแออัดล้มเหลว  รวมถึงผิดพลาดในการใช้มาตรการล็อคดาวน์ทำให้เศรษฐกิจรากหญ้าพังพินาศปราศจากมาตรการดูแลเยียวยาจึงทำให้เกิดปัญหาว่างงานกว่า  6 แสนคน  ดังนั้นระบบราชการต้องปฏิรูปครั้งใหญ่เพื่อนำพาประเทศฝ่าวิกฤตการเมืองและโควิด

 

ถึงเวลาปฏิรูปตร.-กระทรวงสาธารณสุขหมดยุครัฐรวมศูนย์

พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร  เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (สป.ยธ.) กล่าวว่า  ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ารัฐบาลล้มเหลวทั้งการป้องกันและการแก้ปัญหา  แต่รัฐบาลคงไม่ยอมรับ คิดว่าทำดีที่สุดแล้ว  ซึ่งไม่จริงเลยเมื่อเปรียบเทียบตามจำนวนประชากร  ปัจจุบันเรามีสัดส่วนผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยสูงกว่าหลายประเทศไกล้เคียงมาก โดยเฉพาะการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจที่มีบทบาทสำคัญต่อการป้องกัน  กลับกลายเป็นตัวการสร้างปัญหาการแพร่ระบาดเสียเอง จากการทุจริต “รับส่วยสินบน” สารพัดที่กระทำกันมาอย่างยาวนาน ทั้งแรงงานต่างด้าว  บ่อนการพนัน และสถานบันเทิงผิดกฎหมาย  ที่เป็นต้นตอการแพร่เชื้อแบบคลัสเตอร์หลายระลอก โดยรัฐบาลก็ไม่ได้มีการลงโทษตำรวจระดับใดอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินคดีอาญาหรือลงโทษวินัยร้ายแรงให้เข็ดหลาบ

 

จึงควรมีการปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่  โดยเฉพาะองค์กรตำรวจ ต้องปรับโครงสร้างให้กระชับและประหยัด  ตัดงบฯ ตำแหน่ง และหน่วยงานที่ไม่จำเป็นลงให้หมด เช่น ตำรวจภาค  รวมทั้งแก้ไขหรือร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ให้มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง  เนื่องจากรัฐบาลปัจจุบันได้ใช้รัฐธรรมนูญเป็นข้ออ้างและเครื่องมือยึดอำนาจจากประชาชนไม่ต่างจากการปฏิวัติ  โดยอ้างความชอบธรรมว่าได้ผ่านประชามติแล้ว ซึ่งแท้จริงเป็น ‘ประชามติลวง’ เพราะประชาชนส่วนลงคะแนนใหญ่รับไปเพราะต้องการให้พ้นจากอำนาจเผด็จการโดยเร็ว  เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าเท่านั้น!

 

นายธนชาติ ไชยทองพันธ์  กรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิต อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร กล่าวว่า ปัญหาโควิดเกิดจาก 2 ปัญหาสำคัญ คือ 1. วิกฤตศรัทธาในตัวผู้นำ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี 2.ไม่มีการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริงเพื่อบูรณาการแก้ปัญหาโควิด 3.ระบบราชการเกิดความเหลื่อมล้ำ สิ่งที่เห็นเด่นชัด คือ การจัดสรรวัคซีน หรือ การดูแลระบบสุขภาพถูกกำหนดจากส่วนกลาง จึงเสนอแนะว่าควรแก้รัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาระบบราชการที่ยังอยู่ใต้อำนาจฝ่ายการเมืองและรวมศูนย์แต่ควรให้ประชาชนหรือท้องถิ่นมีสิทธิและอำนาจในการบริหารจัดการตัวเอง

 

ดร.ณพลเดช มณีลังกา ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการปฏิรูประบบราชการ สภาฯ กล่าวว่าสิ่งที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการ คือ ขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศจีน ผู้นำโลกด้านเทคโนโลยี ATK เร่งฉีดวัคซีนที่มีคุณภาพสู้โควิด กระจายฟ้าทะลายโจร เพื่อป้องกันหรือต้านการติดเชื้อโควิด

 

นอกจากนี้ในวงเสวนา เสนอแนะให้รัฐบาลเร่งเยียวยาดูแลประชาชนโดยเฉพาะการกระจายหรือจัดหาวัคซีนให้ทั่วถึง แต่กลับไม่ทำ จึงเกิดคำถามว่า รัฐบาลต้องการหรือจงใจให้เป็นธุรกิจวัคซีน ขณะเดียวกันไม่สนับสนุนยาแพทย์แผนไทย “ฟ้าทะลาย” กลับไม่สนับสนุน จึงเสนอแนะให้มีการ “ปฏิรูปกระทรวงสาธารณสุข” อย่างเร่งด่วน โดยยึดแนวทางแพทย์แผนจีน มาเป็นต้นแบบ