เปิดหนังสือ’ลุงพล’ร้องกมธ.กฎหมายตรวจสอบผบ.ตร.จัมกุมโดยมิชอบทั้งที่มามอบตัวแล้ว

เปิดหนังสือ’ลุงพล’ร้องกมธ.กฎหมายตรวจสอบผบ.ตร.จัมกุมโดยมิชอบทั้งที่มามอบตัวแล้ว

‘ลุงพล – ป้าแต๋น’ใส่สูทบุกสภาฯ! ยื่นหนังสือร้อง กมธ.กฎหมายและยุติธรรม ให้ดำเนินการกับตำรวจที่ใส่ความ ‘รายงานเท็จต่อศาล’ ว่าตนหลบหนี จับโดยไม่แสดงหมายและใส่กุญแจมือโดยมิชอบ ไม่ยอมรับมอบตัว และค้านประกันโดยไม่มีเหตุและข้อเท็จจริงตามกฎหมาย!ขอให้ดำเนินการกับตำรวจผู้รับผิดชอบทุกระดับจนถึงที่สุด!

ที่รัฐสภา วันที่9มิ.ย.64 นายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ผู้ต้องหาในคดีพรากเด็ดอายุไม่เกิน15ปี กรณีการเสียชีวิตน้องชมพู่ พร้อมด้วยนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความ เข้ายื่นหนังสือถึง นายสิระ เจนจาคะ ประธานคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร  เพื่อขอความเป็นธรรม และขอให้ตรวจสอบผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยหนังสือมีเนื้อหาดังนี้

ทำที่บ้านเลขที่ 79 หมู่ 2 ตำบลกกตูม อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร

ข้าพเจ้านายไชย์พล วิภา เป็นผู้ต้องหาในคดีหมายเลขดำที่ ฝ.71/2564 ของศาลจังหวัดมุกดาหาร คดีระหว่างพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรกกตูม ผู้ร้อง กับนายไชย์พล วิภา ผู้ต้องหา ขอความเป็นธรรมมายังท่านเพื่อให้ตรวจสอบการปฎิบัติหน้าที่ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเจ้าหน้าตำรวจที่เกี่ยวข้อง ในประเด็นต่างๆดังต่อไปนี้

 

1) คณะพนักงานสอบสวนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่336/2563 โดยพันตำรวจโทเจด็จ ปรีพูล ได้ยื่นคำร้องขอออกหมายจับข้าฯ ต่อศาลจังหวัดมุกดาหาร โดยยื่นเหตุผลประกอบคำร้องขอออกหมายจับอันเป็นเท็จ เพื่อให้ศาลหลงเชื่อว่าข้าฯมีพฤติการณ์จะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน โดยข้อเท็จจริงข้าฯ มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หากเจ้าพนักงานตำรวจเรียกไม่ว่าเรื่องใดก็แล้วแต่ ข้าฯก็ให้ความร่วมมือมาโดยตลอด ซึ่งสื่อมวลชน และยูทูปเบอร์ก็มาสัมภาษณ์ข้าฯทุกวันไม่ว่าข้าฯจะไปทำธุระที่ไหนก็แล้วแต่ อีกทั้งข้าฯไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการปฎิบัติหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่อย่างใด

 

2) คดีนี้ศาลได้อนุมัติหมายจับข้าเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 โดยเจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นเพื่อจับกุมข้าฯที่บ้าน ในเช้าวันที่ 2 มิถุนายน 2564 แต่กลับมีการเปิดเผยข้อมูลหมายจับของข้าฯให้แก่สื่อมวลชนตั้งแต่คืนวันที่ 1 มิถุนายน 2564 โดยสื่อมวลชนไปดักรอข้าฯที่บ้านเพื่อรอทำข่าวข้าฯถูกจับ การนำความลับราชการมาเปิดเผยล่วงหน้า เพื่อให้ข้าฯได้รับความอับอายจากการถูกจับกุม

 

3) ในเช้าวันที่ 2 มิถุนายน 2564 หลังจากที่ข้าฯทราบแน่ชัดว่ามีหมายจับ จึงได้นัดหมายนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความของข้าฯเพื่อติดต่อเข้ามอบตัว นายษิทราฯได้แจ้งสื่อมวลชนว่าจะเข้ามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และประสานกับโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าจะพาข้าฯเข้ามอบตัว แต่ได้รับการยืนยันจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจะจับกุม โดยไม่รับมอบตัว เมื่อข้าฯเดินทางไปถึงบริเวณห้องโถงของตึกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ข้าฯได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าข้าฯมามอบตัว ปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจ ไม่ยอมรับมอบตัวและทำการจับกุมข้าฯ โดยสวมใส่กุญแจมือ และปล่อยให้สื่อมวลชนถ่ายภาพให้ข้าฯให้ได้รับความอับอาย อีกทั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยังให้สัมภาษณ์ว่าเป็นการจับกุม ไม่สามารถรับมอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ ​อันเป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของกฎหมายและละเลยสิทธิของผู้ต้องหา เจ้าพนักงานตำรวจทุกคนมีอำนาจหน้าที่จับกุมตามหมายจับก็ย่อมมีอำนาจรับมอบตัวด้วยเช่นกัน การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวจึงเป็นเจตนากระทำผิดต่อกฎหมายเสียเอง

 

4) หลังจากที่ข้าฯถูกนำตัวส่งศาลจังหวัดมุกดาหารเพื่อฝากขัง ในวันดังกล่าวเจ้าพนักงานตำรวจ พร้อมนางสาวิตรี วงศ์ศรีชา ยื่นคำร้องคัดค้านการประกันตัวข้าฯ โดยศาลได้ทำการไต่สวน นางสาวิตรีฯยอมรับจากการถามค้านของทนายข้าฯว่า ที่ยื่นคำร้องคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวข้าฯ เพราะทำตามคำแนะนำของเจ้าพนักงานตำรวจ  เป็นที่เห็นได้ชัดว่าเจ้าพนักงานตำรวจในคดีนี้มิได้วางตัวเป็นกลาง หากแต่มุ่งต้องการเอาผิดข้าฯ และพันตำรวจโทธนกาญจน์ พระสุมาตย์ พยานที่ให้การก็ยอมรับจากการถามค้านของทนายข้าฯว่า ไม่มีใครแจ้งเลยว่ามีการคุกคามพยานในคดีนี้มาก่อน ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจมาขอหมายจับข้าฯ พันตำรวจโทธนกาญจน์ฯ ก็ไม่ทราบว่าผู้ต้องหา(ข้าฯ) จะมีพฤติการณ์หลบหนี ซึ่งจากคำเบิกความ และการปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าขบวนการตั้งแต่การขอออกหมายจับข้าฯ จนกระทั่งจับกุมจนถึงนำตัวมาฝากขังต่อศาล เป็นการวางแผนล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สังคมมองว่าข้าฯเป็นผู้กระทำความผิด เป็นโจรผู้ร้าย เป็นคนไม่ดี ก่อนที่ศาลสถิตยุติธรรมจะมีคำพิพากษา

 

ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ จึงขอให้ท่านในฐานะประธานคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ได้โปรดมีการตรวจสอบการปฎิบัติหน้าที่ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเจ้าพนักงานตำรวจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเรียกพยานต่างๆมาสอบ เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ข้าฯด้วย