เลขาสป.ยธ.ย้อนตร.ออกหมายจับ’ลุงพล’ใช้หลักฐานอะไร สะท้อนกระบวนการยุติธรรมล้าหลัง

เลขาสป.ยธ.ย้อนตร.ออกหมายจับ’ลุงพล’ใช้หลักฐานอะไร สะท้อนกระบวนการยุติธรรมล้าหลัง

เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2564 พ.ต.อ.วิรุตม์  ศิริสวัสดิบุตร  อดีตรองผู้บังคับการจเรตำรวจและเลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม(สป.ยธ.) กล่าวว่า  คดีน้องชมพู่เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำจนสุดท้ายนำไปสู่การออกหมายจับ ‘ลุงพล’ ผู้เป็นลุงเขยนี้  ถือเป็นคดีที่ท้าทายประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมอาญาของไทยในชั้นสอบสวนอย่างยิ่ง       การตั้งข้อหาและการออกหมายจับลุงพลมีข้อสงสัยมากมายว่า   ตำรวจใช้พยานหลักฐานอะไรไปรายงานต่อศาล ซึ่งก็ไม่เห็นตำรวจผู้ใหญ่คนใดออกมาชี้แจงให้ประชาชนหายสงสัยข้องใจแต่อย่างใด และถ้ามีหลักฐานชัดว่าลุงพลเข้าไปเกี่ยวข้องมีเจตนาทำให้น้องชมพู่ตาย ไม่ว่าจะโดยการอุ้มหรือเดินนำไปบนภูเขาแล้วทิ้งไว้ตามที่ตำรวจตั้งสมติฐานจริง  เหตุใดจึงไม่มีข้อหา ‘ฆ่าผู้อื่น’  ด้วยนั่นแสดงว่า  แท้จริงพยานหลักฐานไม่มีความชัดเจนเลย!  จึงทำเพียงแจ้งข้อหา ‘พรากเด็กไปจากผู้ปกครอง’ เท่านั้น แต่ก็มีปัญหาว่าพรากด้วยวิธีใดและอย่างไร จนเป็นเหตุทำให้น้องถึงแก่ความตาย?  ก็ไม่มีใครออกมาอธิบายหรือชี้แจงเช่นกัน?

 

“นอกจากนั้น หลังเกิดเหตุ ลุงพลก็ไม่ได้หนีไปไหน  คงอยู่ที่บ้านพักกับภรรยาที่ “บ้านกกกอก” แทบจะตลอดเวลา   ตำรวจจะออกหมายเรียกหรือแค่โทรศัพท์แจ้งให้ไปรับทราบข้อหาก็ยังทำได้ ไม่จำเป็นต้องไปเสนอศาลออก “หมายจับ” ทำให้เขาเกิดความเดือดร้อนเสียหาย  นำตำรวจคอมมานโดจำนวนมากไปล้อมบ้านตอนเช้ามืดด้วย  อีกทั้งเมื่อเขาไปติดต่อขอมอบตัวกับตำรวจไม่ว่าระดับใด ก็ไม่มีใคร “รับ”  จ้องแต่จะ ‘จับตามหมายใส่กุญแจมือ!’ อย่างเดียว  ถือเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่งของโลก!การอ้างกันแต่ว่า เป็นความผิดที่มีโทษจำคุก 3 ปีขึ้นไป  สามารถเสนอศาลออกหมายจับได้ทันที หากมีพฤติการณ์หลบหนี ไม่ต้องมีหมายเรียก 2  3 ครั้งนั้น  ข้อเท็จจริง เขามีพฤติการณ์ดังกล่าวตามที่มีการรายงานหรือไม่  และถ้าหนี เขาจะไปขอพบ ผบ.ตร.ให้ถูกจับทำไม!?”พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าว

 

เลขาธิการสป.ยธ. กล่าวต่อว่า ในความเป็นจริง  ตำรวจผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ต้องการให้ศาลออกหมายจับผู้ต้องหาคดีสำคัญๆ กันทั้งนั้น  เพื่อจะได้นำมาถือไว้  และตามจับตัวกันที่ไหน เมื่อไหร่ แกล้งทำให้บุคคลนั้นเดือดร้อนเสียหายและเข็ดหลาบอย่างไรก็ได้!   รวมทั้งเป็นการลดความเชื่อถือต่อสังคมและใช้เป็นเหตุในการ “คัดค้านการประกันตัว” เมื่อฝากถึงเวลาขังต่อศาล  โดยอ้างว่ามีพฤติการณ์หลบหนี  ต้องสืบจับมาตามหมายด้วยความยากลำบาก! ‘ไม่ใช่การมารับทราบข้อหาตามหมายเรียก’ หรือ ‘การมอบตัว’ ซึ่งจะทำให้ตำรวจไม่อำนาจควบคุมตัวบุคคลนั้นไว้  เมื่อสอบปากคำเสร็จแล้ว ก็ต้องปล่อยตัวไปทันที ”

 

“และเมื่อเป็นการจับตามหมายและตำรวจค้านประกันโดยอ้างว่ามีพฤติการณ์หลบหนี  ส่วนใหญ่ “ศาลไทย” ก็มักไม่อนุญาตตามที่ค้านนั้นด้วย   ทำให้ผู้ต้องหาถูก “ขังล่วงหน้า” อย่างไม่เป็นธรรม!  โดยที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาว่ากระทำความผิดเลยนอกจากนั้น ก็เป็นการลดทอนความสามารถในการต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน  ไม่ว่าจะเป็นการให้ข้อมูลให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนหรือการรวบรวมพยานหลักฐานติดต่อบุคคลต่างๆการออกหมายเรียกผู้ต้องหาหรือเสนอศาลออกหมายจับถือเป็น “ความล้าหลัง” ของกระบวนการยุติธรรมอาญาไทยอีกเรื่องที่ต้องได้รับการแก้ไขและปฏิรูปโดยเร็ว.”พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าวทิ้งท้าย