‘ดร.สุรพล’กระตุกนายกฯคนส่วนใหญ่เห็นว่ากฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ-ไม่น่าเคารพเชื่อฟังอีกแล้ว เตือนนี่ไม่ใช่น้ำผึ้งหยดเดียวแต่เป็นน้ำผึ้งทั้งไห

‘ดร.สุรพล’กระตุกนายกฯคนส่วนใหญ่เห็นว่ากฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ-ไม่น่าเคารพเชื่อฟังอีกแล้ว เตือนนี่ไม่ใช่น้ำผึ้งหยดเดียวแต่เป็นน้ำผึ้งทั้งไห

 

เมื่อวันที่ 25 ก.ค.63 มีการเผยแพร่บทความของ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์   อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  เรื่อง   “คนส่วนใหญ่เห็นว่า กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ-ไม่น่าเคารพเชื่อฟังอีกแล้ว “ มีเนื้อหาดังนี้  เรื่องขับรถชนคนตาย เป็นเรื่อง common ที่คนรู้เห็นและเข้าใจกันทุกชนชั้น ทั้งประเทศ แต่การที่จำเลยไม่ถูกสั่งฟ้อง เพราะสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างกรณีนี้ เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดและไม่มีใครเข้าใจได้เลย แทนที่จะช่วยโดยทำสำนวนว่าประมาทร่วม และช่วยเหลือครอบครัวผู้ตายอย่างดี แล้วปล่อยให้ศาลแล้วถูกศาลตัดสินจำคุกแต่ให้รอลงอาญา

ดังนั้น อัยการที่ไม่สั่งฟ้อง และตำรวจที่ไม่แย้ง ซึ่งทั้งคู่เป็นองค์กรหลักในกระบวนการยุติธรรม ที่เปราะบางอยู่แล้ว ก็ยิ่งกลายเป็นความล้มเหลว และหมดหวังที่จะพึ่งได้อีกจากคนทั้งประเทศที่รับรู้เข้าใจเรื่องง่ายๆ นี้หมดทุกคน และจะทำให้ระบบความยุติธรรมหมดความหมาย ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป

ถ้ามองให้ดีจะเห็นว่าเศรษฐกิจก็ล้มเหลว โควิดก็คุกคาม สังคมก็แตกแยก คนเบื่อและเกลียดรัฐบาลมากขึ้น การเมืองก็แย่งผลประโยชน์ และคนรู้สึกว่ามีแต่นักการเมืองน้ำเน่าที่แก่งแย่ง หน้าไม่อายและกอบโกยคอร์รัปชั่นไม่ต่างจากยุคก่อนๆ อย่างเดียวที่รัฐบาลใช้เป็นหลักพิงประคองตัวอยู่ได้คือ Law and Order

บัดนี้คนส่วนใหญ่เห็นว่ากฎหมายมันไม่ศักดิ์สิทธิ์และไม่น่าเคารพเชื่อฟังอีกแล้ว เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องประชาชนทุกภาคส่วนรุมกันด่าตำรวจหรืออัยการ แล้วพอผ่านไปสองอาทิตย์ พอซาลงก็จบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการพังทลายลงของรัฐบาล ซึ่งจะมาเร็วมาก โดยเฉพาะเมื่อมีคนโยง และชาวบ้านเชื่อว่านายกฯรับเงิน 300 ล้าน เพื่อช่วยโควิดจากเขาเมื่อหลายเดือนก่อน เป็นเรื่องเดียวกันกับเรื่องนี้

นี่ไม่ใช่น้ำผึ้งหยดเดียว แต่เป็นน้ำผึ้งทั้งไห ที่เทราดลงไป ขณะที่ม็อบของคนรุ่นใหม่กำลังจุดติด ไม่ว่าจะเป็นการต่อต้านการผูกขาดอำนาจ ต่อต้านพวกทุจริต ต่อต้านรัฐบาลที่ทำให้คนตกงาน เศรษฐกิจล้มเหลว หรือต่อต้านเผด็จการ ทั้งหมดคือภาพรวมของการต่อต้านสังคมที่อยุติธรรมนั่นเอง

เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยรัฐบาลไม่รับรู้ ไม่ตั้งใจ แต่ timing ที่มาคือการสาดน้ำมันเข้ากองไฟที่เพิ่งจุดติดแค่กองเล็กๆ จากการชุมนุมของนักศึกษาเท่านั้น และมันจะทำให้เกิดกองไฟลุกท่วมประเทศในเวลารวดเร็วมาก โอกาสเดียวที่นายกฯตู่ จะหลุดรอด และพารัฐบาลออกจากพายุอารมณ์ และความโกรธแค้นของผู้คนทั้งประเทศได้ คือการออกมาพูดโดยเร็วที่สุดว่า รัฐบาลไม่เกี่ยวข้องและไม่รู้เรื่องนี้

แต่เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม ไม่ใช่จะมาพูดว่ารัฐบาลจะไม่ก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรม เพราะ perception ของคนทั้งประเทศ เห็นรัฐบาลสั่งได้หมดมาตั้งแต่ คสช.แล้ว และนายกฯจะตั้งกรรมการขึ้นตรวจสอบกระบวนการเรื่องนี้ทั้งหมด จากคนที่สังคมไว้วางใจ โดยให้ทำให้เร็วที่สุด สักสองสัปดาห์ และประกาศว่า ถ้าพบว่ามีอะไรผิดพลาด ทุจริตหรือประพฤติไม่ชอบ จะลงโทษทุกคนที่เกี่ยวข้องอย่างรุนแรงที่สุด เพื่อเรียกศรัทธาและความมั่นใจในกระบวนการยุติธรรมกลับมา และทำให้มี Law and Order ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ค้ำจุนรัฐบาลนี้ในเวลานี้กลับคืนมาเป็นหลักเดียวที่รัฐบาลจะใช้ค้ำจุนตนเองต่อไปได้ครับ