อัยการแจงเหตุสั่งไม่ฟ้อง’ชัยวัฒน์’ฆ่า’บิลลี่’ยกคำพิพากษาศาลเพชรบุรีมีพยานเห็นปล่อยตัวแล้ว-ไม่เชื่อการตรวจวิธีไมโทรคอนเดรีย’เมียบิลลี่’ผิดหวังพร้อมฟ้องคดีเอง

อัยการแจงเหตุสั่งไม่ฟ้อง’ชัยวัฒน์’ฆ่า’บิลลี่’ยกคำพิพากษาศาลเพชรบุรีมีพยานเห็นปล่อยตัวแล้ว-ไม่เชื่อการตรวจวิธีไมโทรคอนเดรีย’เมียบิลลี่’ผิดหวังพร้อมฟ้องคดีเอง

ที่ห้องประชุมชั้น 11 สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก เวลา 10.30 น. วันที่ 27 ม.ค.2563  นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด(อสส.) และนายจิตภัทร พุ่มหิรัญ อัยการสำนักงานคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ 4 แถลงชี้แจงการสั่งคดีที่นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อายุ 56 ปี ผอ.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ผอ.ทสจ.) ปัตตานี อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ระหว่างปี 2551-2557 กับลูกน้อง 3 คน ตกเป็นผู้ต้องหา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวทำร้าย และร่วมกันฆ่าอำพรางศพ นายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ อายุ 31 ปี นักเคลื่อนไหวชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย จ.เพชรบุรี ที่หายตัวไปตั้งแต่ปี 2557 ซึ่งอัยการคดีพิเศษสั่งไม่ฟ้องข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าบิลลี่ โดยสั่งฟ้องเพียงข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

โดยในวันนี้ นางพิณนภา พฤกษาพรรณ หรือมึนอ ภรรยาของบิลลี่ ผู้เสียหายในคดี พร้อม น.ส.วราภรณ์ อุทัยรังษี ทนายความของนางพิณนภา เดินทางมาร่วมฟังการแถลงข่าวด้วย

นายประยุทธ แถลงว่า ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งสำนวนคดีอาญาให้สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด พิจารณาคดีระหว่าง น.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ กับพวกรวม 2 คน ผู้กล่าวหา นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร, นายบุญแทน บุษราคัม, นายธนเสฏฐ์ หรือไพฑูรย์ แช่มเทศ และนายกฤษณพงศ์ จิตต์เทศ ผู้ต้องหาที่ 1-4 นั้น ผลคืบหน้าการพิจารณาสำนวนคดีนี้ดังนี้

1. เมื่อสำนักงานคดีพิเศษได้รับสำนวนดังกล่าวแล้ว นายฐาปนา ใจกลม อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ได้จ่ายสำนวนให้สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 พิจารณา และต่อมา นายชวรัตน์ วงศ์ธนบูลย์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 เห็นว่าคดีนี้เป็นคดีสำคัญที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจติดตามคดีมาอย่างต่อเนื่อง จึงมีคำสั่งที่ 26/2562 ตั้งคณะทำงานประกอบด้วยนายปกาศิต เหลืองทอง อัยการผู้เชี่ยวชาญเป็นหัวหน้าคณะทำงาน โดยมี พ.ต.ท.เดชาชัย ณ ลำปาง อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด, นายวรพงษ์ ทองแก้ว อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด และนายเชาวพันธ์ ช่วยชู อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด

2.คณะทำงานร่วมกันตรวจพิจารณาสำนวนแล้วเห็นว่า สำหรับข้อหาเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ คณะทำงานพิจารณาแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานพอฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 จึงเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 1-3 ในข้อหาร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/2, 172 และเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 4 ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้กระทำความผิดดังกล่าวข้างต้น

3.ข้อกล่าวหาอื่น คณะทำงานเห็นว่าทางคดีไม่มีประจักษ์พยานและพยานแวดล้อมใดๆ เพียงพอที่จะเชื่อมโยงว่าผู้ต้องหาทั้งสี่ได้ร่วมกันกระทำผิด มีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง สำหรับข้อหาร่วมกันฆ่าบิลลี่ คณะทำงานตรวจสำนวนโดยละเอียดแล้วเห็นว่า ในชั้นนี้พยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสี่เช่นกัน โดยคณะทำงานเห็นว่า บิลลี่ในชั้นแรกถูกกลุ่มผู้ต้องหาทั้งสี่ควบคุมตัวไปพร้อมน้ำผึ้งและรถจักรยานยนต์ แต่ต่อมามีพยานบุคคลยืนยันว่าผู้ต้องหาทั้งสี่ได้ปล่อยตัวบิลลี่แล้ว โดยทางคดีได้ความอีกว่าภรรยาและมารดาของนายพอละจีได้ไปยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเพชรบุรี ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ต้องหาทั้งสี่ปล่อยตัวนายพอละจี เพราะเป็นการควบคุมตัวโดยไม่ชอบตามกฎหมาย

“เมื่อศาลจังหวัดเพชรบุรีพิจารณาพยานหลักฐานทุกฝ่ายแล้วได้มีคำสั่งยกคำร้อง เพราะมีพยานเบิกความต่อศาลว่านายพอละจีได้รับการปล่อยตัวแล้ว ซึ่งภรรยาของนายพอละจีได้ยื่นอุทธรณ์และฎีกาคัดค้านคำสั่งของศาลจังหวัดเพชรบุรี แต่ทั้งชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาพิพากษายืน อันเป็นการชี้ขาดข้อเท็จจริงว่าผู้ต้องหาทั้งสี่ได้ปล่อยตัวนายพอละจีไปแล้ว คดีเป็นที่สุด และต่อมาพยานที่เคยเบิกความในคดีที่ศาลจังหวัดเพชรบุรีได้ให้การใหม่กับพนักงานสอบสวนของดีเอสไอตรงข้ามกับที่เคยเบิกความต่อศาล แต่พนักงานอัยการซึ่งเป็นคณะทำงานเห็นว่าตำเบิกความต่อศาลดังกล่าวน่าเชื่อถือและมีน้ำหนักมากกว่า”

นายประยุทธ กล่าวถึงความเห็นคณะทำงานต่อว่า การตรวจพิสูจน์กระดูกซึ่งเป็นวัตถุพยานของกลางโดยวิธีไมโทรคอนเดรีย เป็นเพียงการตรวจเพื่อทราบถึงสื่อสัมพันธ์สายมารดาเท่านั้น โดยการตรวจวิธีนี้ไม่เพียงพอยืนยันตัวบุคคลที่ชี้ชัดได้ว่ากระดูกของกลางที่พบเป็นของบุคคลใด และสำนวนคดีไม่มีข้อเท็จจริงหรือประจักษ์พยานและพยานแวดล้อมใดๆ เพียงพอที่จะเชื่อมโยงว่าผู้ต้องหาทั้งสี่เป็นผู้ร่วมกันฆ่านายพอละจีที่ไหน เมื่อไหร่ และโดยวิธีใด ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้นล้วนเป็นสาระสำคัญที่อัยการต้องกล่าวบรรยายไว้ในฟ้อง รวมทั้งสำนวนการสอบสวนไม่มีพยานหลักฐานว่านายพอละยังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่

“คณะทำงานจึงมีความเห็นว่า ในชั้นนี้สำนวนยังมีพยานหลักฐานไม่เพียงพอฟ้องผู้ต้องหา จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสี่และได้เสนอสำนวนพร้อมความเห็นของคณะทำงานไปยังนายฐาปนา ใจกลม อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ตามระเบียบของสำนักงานอัยการสูงสุด และเมื่ออธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษพิจารณาแล้วได้มีความเห็นและคำสั่งตามที่คณะทำงานเสนอ ขณะนี้สำนักงานคดีพิเศษได้ส่งสำนวนพร้อมคำสั่งไปยังอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อพิจารณาตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป หากมีความคืบหน้าคดีเป็นประการใด งานโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดจะแถลงให้ทราบต่อไป”

รองโฆษกอสส.อธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า การฟ้องคดีสามารถทำได้ครั้งเดียว อัยการต้องพิสูจน์ให้ได้ชัดเจน ถ้าสืบแล้วยังมีข้อสงสัย โอกาสศาลยกฟ้องมีสูง ถ้าสั่งไม่ฟ้องแล้วมีพยานหลักฐานใหม่ อัยการสามารถหยิบยกมาได้ แต่ถ้าฟ้องไปแล้วศาลยกฟ้องเสียหายมากกว่า คดีมีอายุความ 20 ปี โดยอธิบดีอัยการคดีพิเศษฝากเรียนญาติผู้เสียหายสามารถฟ้องเองได้ อัยการยินดีให้การสนับสนุน แต่ของอัยการฟ้องส่วนที่ชัดเจน หากยังไม่เพียงพอไม่ฟ้อง ทั้งนี้ ขั้นตอนต้องเสนอดีเอสไอพิจารณาเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าดีเอสไอมีความเห็นต่างต้องส่งอัยการสูงสุดชี้ขาดต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่าในระยะเวลาการฝากขังผู้ต้องหาทั้งสี่ใกล้ครบกำหนดวันที่ 3 ก.พ.นี้ อัยการสูงสุดจะสั่งคดีทันหรือไม่ นายประยุทธ กล่าวว่า ถ้าหากเป็นคดีร้ายแรง เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี อัยการจะฟ้องไปก่อนในข้อหาที่มีการสั่งฟ้องแล้วก่อน แต่ถ้าผู้ต้องหาไม่มีพฤติการณ์หลบหนี อาจจะต้องรอ และหากมีคำสั่งถึงที่สุดประการใด ก็จะให้พนักงานสอบสวนนำตัวมาในภายหลัง

เมื่อถามหากพยานหลักฐานยังมีข้อสงสัย เหตุใดไม่สั่งสอบเพิ่มเติม นายประยุทธ กล่าวว่า หลักการสอบเพิ่มเติมนั้นต้องมีประเด็นที่อัยการจะต้องสั่งสอบเพิ่ม แต่คดีนี้ไม่มีจุดเกาะเกี่ยวเชื่อมโยง ซึ่งขณะนี้มีพยานหลักฐานที่ดีเอสไอรวบรวมมา เรายังไม่เห็นความเชื่อมโยง จะไปสั่งให้สอบเพิ่มลอยๆ ไม่ได้ ต้องชี้จุดให้ไปสอบในเรื่องใด ก็เลยมีการลงความเห็นสั่งไม่ฟ้องดังกล่าวไป

ถามอีกว่าคดีนี้มีประจักษ์พยานยืนยันว่ามีการควบคุมตัวบิลลี่ แต่พยานที่บอกว่ามีการปล่อยตัวบิลลี่ไปแล้วมากลับคำให้การในชั้นสอบสวนดีเอสไอว่าไม่เห็นการปล่อยตัว ถือว่าเป็นพยานไม่อยู่กับร่องรอยจะน่าเชื่อถือว่ามีการปล่อยตัวบิลลี่จริงหรือไม่ นายประยุทธ กล่าวว่า เมื่อบิลลี่โดนนายชัยวัฒน์นำตัวไปแล้วไม่ได้กลับบ้าน ทางภรรยาและมารดาได้ยื่นร้องต่อศาลจังหวัดเพชรบุรีขอปล่อยตัว เพราะเชื่อว่าถูกนายชัยวัฒน์กับพวกควบคุมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีการสืบพยานสู้กัน เท่าที่รับแจ้งมา มีประจักษ์พยานเบิกความต่อศาลเห็นบิลลี่ขี่มอเตอร์ไซค์หลังจากนั้น ศาลเชื่อพยานว่านายชัยวัฒน์ปล่อยตัวบิลลี่มาแล้ว

“ทั้งศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืนว่าจากการนำสืบในคดี เห็นว่ามีการปล่อยบิลลี่ออกมาแล้ว จึงไม่มีเหตุผลสั่งให้นายชัยวัฒน์ปล่อยตัว และยกคำร้อง พยานในคดีดังกล่าว 2 ปากจาก 5 ปาก มาให้การใหม่กับดีเอสไอในชั้นสอบสวนว่าไม่เห็นการปล่อยตัวบิลลี่ อัยการจึงมาชั่งน้ำหนัก เชื่อว่าสิ่งที่พยานพูดกับศาลจังหวัดเพชรบุรี จนศาลอุทธรณ์และฎีกาเชื่อมีน้ำหนักมากกว่าการให้การใหม่กับดีเอสไอ การนำพยานที่ขัดแย้งกันเองขึ้นสู่ศาล จะกลายเป็นประโยชน์แห่งการสงสัย กฎหมายจะยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ในชั้นนี้เราจึงต้องรอพยานหลักฐานที่แน่นหนากว่านี้”

เมื่อซักว่าพยานที่ยืนยันว่าปล่อยตัวบิลลี่ไม่มีใช่หรือไม่ เนื่องจากมากลับคำในชั้นดีเอสไอ นายประยุทธ กล่าวว่า ในสำนวนของศาลจังหวัดเพชรบุรีนั้นมี 5 ปาก ใน 3 ปากยืนยันอยู่ แต่มี 2 ปากพูดใหม่ การที่พยานกลับคำ อัยการมีสิทธิใช้ดุลยพินิจว่าจะเชื่อตรงไหน การเบิกความในศาลมีการซักค้านเต็มที่

อัยการไม่ฟ้องชัยวัฒน์

จากนั้น น.ส.วราภรณ์ ทนายความของนางพิณนภา ได้โต้แย้งว่า ทางอัยการทราบหรือไม่ว่าในส่วนของกระบวนการไต่สวนที่ศาลได้เรียกพยานเจ้าหน้าที่, นักศึกษาฝึกงาน และพนักงานสอบสวน ซึ่งในการไต่สวนศาลได้ชี้ว่าพยานหลักฐานที่เห็นว่ามีการปล่อยตัวบิลลี่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาไม่สามารถหยิบยกมาพิจารณาได้ จึงไม่เห็นบริบทการปล่อยตัว ศาลฎีกายกคำร้องเพราะพยานหลักฐานไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ไม่ใช่เพราะว่ามีการปล่อยตัวบิลลี่แล้ว

นายประยุทธ กล่าวตอบว่า ทางโฆษกได้รับรายงานจากคณะทำงานคดีพิเศษรายงานมา ส่วนทางทนายความจะรู้รายละเอียดคดี ตนขอเรียนตรงไปตรงมาว่าไม่ทราบข้อเท็จจริงในส่วนนี้ แต่ที่ทราบตรงกันคือทั้งสามศาลยกคำร้อง ทางทีมโฆษกต้องขอโทษเรื่องข้อเท็จจริงในส่วนนี้ เนื่องจากมีรายละเอียดเท่าที่ได้รับข้อมูลจากอัยการคดีพิเศษมา

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ทางดีเอสไอยืนยันความชัวร์ของการตรวจด้วยวิธีไมโทรคอนเดรีย โดยสืบจากครอบครัวมาแล้วระหว่างมารดาและยาย มีบุคคลหายคือบิลลี่คนเดียว ทำไมอัยการถึงไม่เชื่อ ได้พิจารณานำผู้เชี่ยวชาญมาสอบเพิ่มหรือไม่ นายประยุทธ กล่าวว่า ประเด็นที่สงสัยกันนั้น ทางทีมโฆษกเราก็สงสัยในประเด็นเดียวกัน สิ่งที่เราได้รับแจ้งจากคณะทำงานได้มีการพิจารณาโดยละเอียด การตรวจโดยวิธีไมโทรคอนเดรียเป็นการตรวจหาสายสัมพันธ์ของมารดากับยาย ทางนิติวิทยาศาสตร์สามารถไล่สายได้มากขึ้นอีกกว่า 2 ลำดับที่ว่า และคดีนี้ไม่สามารถตรวจดีเอ็นเอได้ เพราะพยานวัตถุถูกทำลายด้วยความร้อนสูง พยานจึงต้องเป็นพยานที่รับฟังประกอบส่วนอื่นได้ด้วย อัยการดูภาพรวมทั้งสำนวนไม่เห็นความเชื่อมโยงกับพยานหลักฐานอื่น โดยเฉพาะคำพิพากษาของศาลที่บอกปล่อยออกมาแล้ว และไม่มีพยานหลักฐานว่าฆ่าที่ไหนอย่างไร ซึ่งเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่จะต้องบรรยายฟ้อง

นายจิตภัทร พุ่มหิรัญ อัยการสำนักงานคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ 4 กล่าวเสริมอธิบายเปรียบเทียบคดีหมอวิสุทธิ์ฆ่าหมอผัสพร ว่ามีความแตกต่างกัน เนื่องจากคดีดังกล่าวพยานวัตถุไม่เสียหายมาก ระยะเวลาผ่านไปไม่นาน สามารถสกัดดีเอ็นเอยืนยันตัวบุคคลได้ ไม่ใช่เพียงว่าการสืบสายมารดาและยายจะเข้ากับใครได้บ้าง

ถามว่าคดีนี้ผู้ต้องหาไม่ได้ให้การใดๆ กับพนักงานสอบสวน ทำไมพนักงานอัยการยังสั่งไม่ฟ้อง นายประยุทธ กล่าวว่า ในการตรวจสำนวนของอัยการจะดูพยานหลักฐานเป็นหลัก เพราะการพิจารณาพิพากษาของศาล การลงโทษใครศาลไม่ได้ดูคำให้การของฝ่ายจำเลยเป็นหลัก จะดูแค่ว่าอัยการสืบได้หรือไม่ ถ้าสืบได้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องดูคำให้การของจำเลย เป็นแนวปฏิบัติ แต่ต้องขอแจ้งว่าตนไม่ทราบรายละเอียดในการสั่งสำนวน

ถามอีกว่า เมื่ออัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องแล้ว ในชั้นนี้ญาติบิลลี่สามารถร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดได้เลยหรือไม่ หรือต้องรอดีเอสไอเห็นแย้งก่อน นายประยุทธ กล่าวว่า ตามระเบียบสามารถยื่นได้ตลอดเวลา ซึ่งอัยการสูงสุดจะพิจารณาหลังมีการยื่นหนังสือมาแล้ว

ถามว่าคดีอุ้มฆ่าจะไม่มีประจักษ์พยาน เป็นช่องโหว่ของกฎหมายหรือไม่ นายประยุทธ กล่าวว่า ต้องดูเป็นคดีไป สิ่งสำคัญคือพยานหลักฐาน เพราะการลงโทษยกฟ้องจะอยู่ที่พยาน หน้าที่การรวบรวมพยานเป็นของพนักงานสอบสวนที่ต้องนำไปสู่จุดนั้นให้ได้

 

จากนั้น นางพิณนภา ภรรยาของบิลลี่ ได้ถามทำนองว่าสิ่งที่นิติวิทยาศาสตร์ตรวจยืนยันเชื่อถือไม่ได้หรือไม่ นายประยุทธ กล่าวว่า วิธีการตรวจดังกล่าวไม่สามารถยืนยันตัวบุคคลได้ชัดเจน การตรวจแบบไมโทรคอนเดรียต้องใช้เชื่อมโยงกับพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน ภาพรวมในสำนวนที่ได้รับแจ้งมายังไม่มีความเชื่อมโยง และไปถูกตัดตอนโดยคำพิพากษาศาลฎีกา จ.เพชรบุรี ที่ยกคำร้องขอให้ปล่อยตัวบิลลี่ การพิสูจน์หากบิลลี่ต้องสงสัยว่าไม่มีชีวิตอยู่ ยังสงสัยว่าใครเป็นคนฆ่า มีแต่การคาดการณ์ หากฟ้องไปศาลยกฟ้องจะเกิดความเสียหายมากกว่า

ถามว่าสามารถสั่งสอบเพิ่มพยานที่กลับคำให้การเพิ่มได้หรือไม่ถึงสาเหตุที่กลับคำให้การ นายประยุทธ กล่าวว่า หากเป็นพยานที่พูดในศาลแบบหนึ่ง พูดกับพนักงานสอบสวนอีกแบบหนึ่ง ก็ไม่เห็นว่าจะต้องไปสอบเพิ่มประเด็นไหน จึงวินิจฉัยพยานหลักฐานเท่าที่มีว่าเพียงพอหรือไม่

ถามอีกว่าผู้ต้องหาได้ร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาหรือไม่ หรืออัยการพิจารณาพยานหลักฐานแล้วสั่งไม่ฟ้องเลย นายประยุทธ กล่าวว่า นายชัยวัฒน์มีการยื่นร้องขอความเป็นธรรมเข้ามา ตนเป็นผู้รับหนังสือนำส่งเรียนอัยการสูงสุด หลังจากนั้นทางอัยการสูงสุดจะส่งหนังสือร้องขอความเป็นธรรมดังกล่าวไปยังอัยการคดีพิเศษ ส่วนอัยการคดีพิเศษจะนำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมมารวมพิจารณาสั่งคดีหรือไม่ ตนไม่ทราบ เนื่องจากตนไม่ได้อ่านเนื้อหาร้องขอมีประเด็นใดบ้าง

อัยการไม่ฟ้องชัยวัฒน์

ภายหลังการแถลงข่าว นางพิณนภาได้ยื่นหนังสือที่เขียนด้วยลายมือต่อนายประยุทธ ขอให้อัยการชี้แจงเหตุผลในการสั่งไม่ฟ้องอย่างละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษร และแสดงความผิดหวัง ไม่สบายใจที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง โดยให้สัมภาษณ์ว่า เข้าใจที่อัยการเอาตามหลักฐานคำพิพากษา แต่ก็เข้าใจยาก สงสัยเรื่องการตรวจ เพราะคนกะเหรี่ยงเมื่อเสียชีวิตจะไม่เอากระดูกลอยน้ำ ในชั้นนิติวิทยาศาสตร์ตรวจแล้วยืนยันตรงกับแม่ของบิลลี่ ส่วนตัวรู้สึกเป็นไปไม่ได้ว่าจะเป็นคนอื่น เชื่อตามนิติวิทยาศาสตร์ จากนี้ก็ต้องไปคุยกันใหม่ และไม่มีพยานในหมู่บ้านที่เห็นบิลลี่ถูกปล่อยตัว ส่วนการฟ้องเองก็คิดไว้ สุดท้ายแล้วถ้าไม่มีอะไรก็อาจจะฟ้องเอง คนทั้งคนหายไปมันเป็นไปไม่ได้ ต้องมีเหตุและผล